ปราสาทศีขรภูมิ
ปราสาทบ้านระแงงตั้งอยู่ตำบลบ้านระแงง อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 500 เมตร การเดินทาง ตามเส้านทางสุรินทร์-ศรีขรภูมิ ทางหลวงหมายเลข 2080 และแยกเข้าองค์ปราสาทด้านซ้ายมือประมาณ 500 เมตร
บ้านปราสาท เป็นชุมชนโบราณมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีการวางแผนแกนตามทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก อย่างชัดเจน มีการก่อสร้างปราสาทเป็นศูนย์กลางของชุมชน ทางด้านทิศตะวันออกห่างออกไปจากตัวปราสาทประมาณ 500 เมตร เป็นที่ตั้งของบารายหรืออ่างเก็บน้ำโบราณขนาดใหญ่ แผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างขึ้นตามรูปแบบการวางผังเมืองในอารยธรรมเขมร และเป็นแหล่งเก็บน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคของประชาชน ในชุมชนบ้านปราสาทในอดีต
ปราสาทศรีขรภูมิประกอบด้วยปรงค์อิฐ 5 องค์ องค์กลางเป็นปรางค์ประธาน มีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ที่มุมทั้ง 4 สร้างบนฐานเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ปราสาทหันหน้าไปทางทิศตันออก มีบันไดทางขึ้นและประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวคือด้านทิศตะวันออกเช่นกัน ปราสาทแต่ละหลังมีลักษณะเหมือนกันคือเป็นปราสาทก่อสร้างด้วยอิฐ หินทราย และศิลาแลง มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจุตุรัสเพิ่มมุม พื้นที่ด้านนอกปราสาทมีคูน้ำรูปตัวซี “C” ล้อมรอบ โดยเว้นพื้นที่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นทางเดินสู่ปราสาท
ปราสาททั้ง 5 องค์มีลักษณะเหมือน ๆ กัน คือ องค์ปรางค์ไม่มีมุข มีประตูทางเข้าเพียงด้านเดียว มีชิ้นส่วนประดับทำจากหินทรายสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ ทั้งส่วนที่เป็นทับหลัง เสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง และกลีบขนุนปรางค์ ส่วนหน้าบันเป็นอิฐประดับลวดลายปูนปั้น


องค์ประธานของปราสาท ในส่วนของกรอบหน้าบันด้านทิศตะวันตก เป็นปูนปั้นรูปมกรคายนาค สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ มีเพียงส่วนบนของกรอบหน้าบนเท่านั้นที่ปูนปั้นกระเทาะออกไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นประโยชน์ที่ทำให้ได้ทราบถึงวิธีการปั้นปูนประดับกรอบหน้าบัน จากลักษณะที่ปรากฏนี้แสดงให้เห็นว่าก่อนที่ช่างจะปั้นปูนประดับเป็นรูปมกรคายนาคนั้นต้องสลักโครงร่างลงไปในเนื้ออิฐเสียก่อน จากนั้นจึงปั้นปูนประดับภายหลัง
กรอบหน้าบันทางด้านทิศตะวันตกนี้ทำเป็นกรอบชั้นเดียว รูปมกรคายนาคด้านละห้าเศียร แสดงอาการกำลังเคลื่อนไหว ผิวเรียบไม่มีลวดลายเครื่องประดับตกแต่ง เพียงแต่สลักเป็นสันฯูนคล้ายลำตัวงูมกรมีลักษณะคล้ายมังกรจีนมากขึ้น ครีบมกรที่เคยสลักอย่างคร่าวๆ ก็หายไปเกิดเป็นเครื่องประดับแบบใหม่ขึ้นบริเวณต้นคอ ศียรนาคที่กรอบหน้าบันทั้งสองข้างก็มีลักษณะแตกต่างกันออกไป คือ เศียรนาคด้านทิศเหนือมีแผงรวมเป็นแผ่นเดียวกัน นาคตัวกลางคายพวงอุบะออกมา แต่เศียรนาคด้านทิศใต้แต่ละเศียรจะแยกเป็นเอกเทศ คือ ไม่มีแผงรวมเป็นแผ่นเดียวกันและนาคตัวกลางก็ไม่คายอุบะเหมือนนาคด้านทิศเหนือ

กรอบหน้าบันด้านทิศเหนือ มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ กรอบหน้าบันก็ยังคงทำเป็นรูปมกรคายนาค ไม่มีลวดลายเครื่องประดับตกแต่งเช่นเดียวกับด้านอื่น ๆ เศรียรนาคที่มกรคายออกมาทั้งสองด้านมีจำนวนไม่เท่ากัน คือ ด้านทิศตะวันออกมีเพียง 3 เศียร ส่วนด้านตะวันตกจะมีจำนวนมากกว่าคือ 5 เศียร และฝีมือการปั้นปูนหยาบกว่ากรอบหน้าบันด้านทิศตะวันตกมาก
กรอบหน้าบันด้านทิศใต้ กรอบหน้าบันส่วนบนและเศียรนาคด้านทิศตะวันตกพังทลายลง ยังคงเหลืออยู่เฉพาะกรอบหน้าบันรูปมกรคายนาค 5 เศียร สลักอย่างคร่าวๆ ที่เคียรนาคมีแผงรวมเป็นแผ่นเดียวกัน นาคตัวกลางคายพวงอุบะออกมาอีกทีหนึ่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ลายปูนปั้นรูปมกรคายนาคที่กรอบหน้าบันปรางค์ประธานนั้น ฝีมือการปั้นปูนค่อนข้างหยาบ จัดเป็นผีมือช่างชั้นต่ำที่ขาดความชำนาญในการปั้นปูน ถึงแม้ว่าจะพยายามลอกเลียนแบบให้เหมือนของเดิมสักปานใดก็ตาม แต่คุณค่าทางด้านศิลปะดูด้อยกว่ารูปมกรคายนาคที่ลักด้วยศิลาทรายที่กรอบหน้าบันด้านทิศตะวันออกมาก จึงชวนให้น่าคิดว่าลายปูนปั้นที่กรอบหน้าบันด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตกนั้น เป็นฝีมือช่างรุ่นหลัง ในช่วงที่มีการบูรณะซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงจากเทวสถานมาเป็นพุทธสถาน ดังจารึกที่กรอบประตูทางเข้าปรางค์บริวารด้านทิศตะวันกออกเฉียงใต้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่จารึกไม่ได้ระบุปีที่ทำการบูรณะไว้เลย

ประติมากรรมรูปนาคที่ปราสาทศีขรภูมิ ปรากฏอยู่ 2 ลักษณะ คือ
ประติมากรรมรูปนาคบนกลีบขนุนปรางค์ ซึ่งจะพบเฉพาะบริวเณเชิงบาตรขั้นที่ 3 ของปรางค์บริวารด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้น โดยจำหลักเป็นรูปนาค 5 เศียร มีรัศมีรวมเป็นแผ่นเดียวกัน รูปร่างคล้ายหมวกขนาดใหญ่ ลวดลายเครื่องประดับเศียรนาคนั้นสลักอย่างหยาบ ๆ ไม่ีพิถีพิถัน
ประติมากรรมรูปนาคบนกรอบหน้าบัน ปัจจุบันยังคงเหลือเฉพาะกรอบหน้าบันด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้เหนือประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกของปรางค์ประธานเท่านั้น เดิมประติมากรรมรูปนาคชิ้นนี้ได้พังทลายลงกองอยู่ด้านหน้าองค์ปรางค์ประธาน ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำขึ้นไปวางประดับอยู่ที่เดิมแล้ว ส่วนประติมากรรมรูปนาคบนกรอบเหน้าบันด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปรางค์ประธานนั้นของเดิมสูญหายไป ปัจจุบันกรมศิลปากรจึงจำหลักเป็นรูปนาคเลียนแบบของเก่าแล้วนำไปวางประดับไว้เหนือเศียรนาคกรอบหน้าบันอันเดิม

สำหรับลักษณะของประติมากรรมรูปนาคกรอบหน้าบันด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้เหนือประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกของปรางค์ประธานนั้น จำหลักเป็นรูปนาค 5 เศียร คายพวงอุบุ มีรัศมีรวมเป็นแผ่นเดียวกับรูปร่างคล้ายหมวกขนาดใหญ่ คล้ายนาคที่ปราสาทบึงมาลาในประเทศเขมร ซึ่งจัดอยู่ในศิลปแบบนครวัดตอนต้น แต่ลวดลายเครื่องประดับเศียรนาคที่ปราสาทบึงมาลานั้นมีลักษณะเป็นเส้นขนานตามหางยาว เส้นขอบนอกเป็นเส้นตรงค่อนข้างแข็งกระด้างกว่าลวดลายเครื่องประดับเศียรนาคที่ปราสาทศีขรภูมิ ซึ่งจะเร่ิมคลายความกระด้างลง โดยเส้นโค้งที่ขอบริมเริ่มมีรอยหยักและลวดลายภายในรัศมีก็เป็นลวดลายประกอบแบบใหม่ คือเป็นลายใบไม้ตั้งขึ้นและมีเส้นนูนมาแบ่งลายใบไม้ออกเป็น 2 แนว ลักษณะลวดลายเครื่องประดับเหล่านี้คงวิวัฒนาการมาจากรัศมีนาค ณ ปราสาทบึงมาลานั่นเอง

องค์ปรางค์ประธาน มีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฏราช (พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ) บนแท่น มีหงส์แบก 3 ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข มีรูปพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (อุมา) อยู่ด้านล่าง เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดา ลายก้ามปูและรูปทวารบาล ส่วนด้านหน้า สลักเป็นรูปนางอัปสร ที่เหนือศีรษะสลักลายประจำยามก้ามปธู ส่วนด้านข้างสลักเป็นรูปทวารบาลซึ่งเป็นเทพผู้รักษาประตู
ส่วนปรางค์บริวารพบทับหลัง 2 ชิ้น ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย เป็นภาพกฤษณาวตารทั้งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าช้างและคชสีห์ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณฆ่าคชสีห์
นอกจากนี้ ในการขุดแต่งได้พบประติมากรรมหินทรายสลักรูปเทพประจำทิศ รูปฤาษีและรูปเทวดาประดับส่วนยอดของปราสาทเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนี้บางส่วนประดับอยู่บนส่วยอดของปราสาท บริวารด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่สำคัญ เช่น พระอินทร์ เทพรักษาทิศตะวันออก พระวรุณ เทพรักษาทิศตะวันตก พระยมเทพรักษาทิศใต้ และพระกุเวร เทพรักษาทิศเหนือ เป็นต้น
จากลวดลายที่เสาและทับหลังของปรางค์ประธานและปรางค์บริวารทั้ง 4 องค์ มีลักษณะปนกันระหว่างรูปแบบศิลปะขอมแบบบาปวน (พ.ศ.1550-1650) และแบบนครวัด (พ.ศ.1650-1700) จึงอาจกล่าวได้ว่า ประสาทแห่งนี้คงสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17 หรือต้นสมัยนครวัด โดยสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูลัทธไศวนิกาย และคงถูกดัดแปลงให้เป็นวัดในพุทธศาสนาตามที่มีหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย
ปราสาทศีขรภูมิ แต่เดิมคงมีภาพสลักตกแต่งอย่างมากมาาย แต่เนื่องจากศาสนสถานแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานทำให้มีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก ในสมัยหลัง ราวพุทธาศตวรรษที่ 22-23 ชุมชนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ ได้ดัดแปลงส่วนยอดให้เป็นแบบศิลปะลาว ทำให้ลวดลายประดับต่าง ๆ ในส่วนหน้าบัน ทับหลัง และลวดลายส่วนอื่นๆ ที่มีมาแต่เดิมถูกทำลายสูญหายไปเป็นจำนวนมาก เหลือเพียงบางส่วนที่สำคัญตามที่กล่าวมาข้างต้น
สภาพรวมของปราสาทศีขรภูมิ เฉพาะปราสาทประธานและปราสาทบริวารองค์ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีสภาพสมบูรณ์ตั้งแต่ส่วนฐานถึงส่วนยอด ส่วนปราสาทบริวารที่เหลืออีก 3 หลัง มีสภาพชำรุดส่วยอดหักหายไป
กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งศึกษาบูรณะและปรับปรุงภูมิทิศน์ปราสาทศีขรภูมิในระหว่างปี 2528-2534 และได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 98 ตอนที่ 104 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2534 กำหนดพื้นที่โบราณสนถานปราสาทศีขรภูมิ ประมาณ 10 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา
เอกสารอ้างอิง
สมมาตร์ ผลเกิด. (2529). การศึกษาปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร.