พระธาตุพันขัน
กู่วัดธาตุพันขัน ตั้งอยู๋ที่ ตำบลจำปาขัน อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ศาสนสถานสำคัญตั้งอยู่กลางเมืองจำปาขัน อันเป็นเมืองสมัยทวารวดีที่มีผู้คนอาศัยสืบมาตั้งแต่ 2,500-2,000 ปีมาแล้ว ผังเมืองจำปาขันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 800 เมตร ยาวประมาณ 2,100 เมตร มีแนวคันดินและคูน้ำล้อมรอบ ภายในเมืองมีบ่อพันขันซึ่งเป็นบ่อน้ำธรรมชาติบนลานหินทรายสีแดง ขนาดกว้าง 6 นิ้ว ลึก 12 นิ้ว มีน้ำผุดออกมาตลอดเวลา ทั้งในบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งผลิตเกลือสินเธาว์ที่สำคัญที่สุดของพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ตามตำนานพื้นบ้านกล่าวว่าเป็นสถานที่ซึ่งพระโมคลานต่อสู้กับพญานาค
กรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดพื้นที่โบราณสถานกู่วัดธาตุพันขัน ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ พื้นที่โบราณสถานมี ๑ ไร่ ๘๙ ตารางวา ได้รับการบูรณะครั้งหลังสุดในปี พ.ศ.๒๕๕๐ ผู้ใดบุกรุกทำลายโบราณสถานมีความผิดตามกฎหมาย

พระธาตุพันขันลักษณะเป็นปรางค์ก่ออิฐ ปรางค์ประธานมีขนาดกว้าง 7 เมตร ยาว 7 เมตร สูง 12 เมตร และอาจมีปรางค์อีก 2 องค์ขนาบข้างซึ่งเหลือเฉพาะส่วนฐาน ตั้งอยู่บนฐานสูงหันหน้าไปทางทิศตะวันออกพระธาตุพันขันเป็นปราสาทรูปสี่เหลี่ยมเพิ่มมุม ก่อด้วยอิฐ ไม่สอปูน มีทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว อีก 3 ด้านที่เหลือเป็นประตูหลอก ส่วนชั้นหลังคาหักพังลงเหลือเพียงสองชั้น ส่วนประกอบที่ใช้ประดับตกแต่งตัวอาคารสูญหายไปเกือบทั้งหมด คงเหลือเพียงชิ้นส่วนประติมากรรมไม่กี่ชิ้น และวงกบประตูที่แสดงถึงเทคนิคการเข้าวงกบแบบมีบ่า ต่างจากการเลียนแบบวงกบอาคารเครื่องไม้แบบเข้าเหลี่ยม ปัจจุบันได้มีการซ่อมแซมพระธาตุบ่อพันขันในชั้นหลัง ทำให้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบธาตุอีสาน เอกลักษณ์ของกู่วัดธาตุพันขัน คือ การสะท้อนให้เห็นเทคนิควิธีการสร้างปราสาท และมีรูปแบบศิวลึงค์ที่เปลี่ยนไปในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖
กู่วัดธาตุพันขัน ตั้งอยู่วัดธาตุบ้านตาเณร มีอายุไม่เกินพุทธศตวรรษที่ 15 กรมศิลปากรได้ทำการขุดค้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เคยเสด็จทอดพระเนตรโบราณสถานแห่งนี้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546
ลักษณะสถาปัตยกรรมกู่วัดธาตุพันขัน เป็นปราสาทเขมรที่พบหลักฐานการสร้างซ้อนทับกันหลายสมัย โดยเริ่มแรกสร้างในสมัยไพรกเมงในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ตามหลักฐานทางโบราณคดีที่พบผังอาคารชั้นในสุด เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าย่อเก็จ คล้ายกับฐานของปราสาทองค์กลางของกลุ่มปราสาทเขาน้อย จังหวัดสระแก้ว ที่กำหนดอายุไว้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ต่อมาพบการสร้างในสมัยบาปวนทับลงบนฐานเดิม ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ลักษณะเป็นปราสาทก่ออิฐในผังสี่เหลี่ยมย่อมุม สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งอยู่บนฐานสูงมีทางเข้าด้านหน้าด้านเดียว ส่วนอีกสามด้านเป็นประตูหลอก ชั้นหลังคาเหลือเพียง ๒ ชั้น เหนือขึ้นไปพังทลายไม่เหลือหลักฐาน ทั้งนี้โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของกู่วัดธาตุพันขัน ได้แสดงให้เห็นเทคนิคการเข้าวงกบประตูแบบมีบ่า ที่ต่างออกไปจากการเลียนแบบวงกบแบบเครื่องไม้ที่นิยมทำกันก่อนหน้านั้น ภายในบริเวณกู่วัดธาตุพันขัน พบศิวลึงค์ รูปเอกมุขลึงค์ ที่มีส่วนปลายสลักพระพักตร์พระอิศวร เรียกว่า รุทรภาค ส่วนตอนกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยม แทนวิษณุภาค และส่วนล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม แทนพรหมภาค อันเป็นรูปแบบศิวลึงค์ที่พัฒนาขึ้นระหว่างศิวลึงค์รุ่นเก่าในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ กับศิวลึงค์รุ่นหลังในพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ทับหลังสลักเรื่องท้าวหิมวันต์ถวายนางปารพตีแด่พระอิศวร
เทศกาลงานไหว้พระธาตุพันขัน จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนห้าตามฮีตสิบสอง คองสิบสี่ โดยชาวบ้านจะทำพิธีแห่น้ำศักดิ์สิทธ์จากบ่อพันขัน และนิมนต์พระพุทธรูปลงมาเพื่อทำการสรงน้ำหน้าองค์พระธาตุ จากนั้นก็จะมีการแห่ทรายเข้าวัดก่อเจดีย์ทราย เสร็จแล้วก็จะทำการสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และสรงน้ำรอบ ๆ พระธาตุ จำนวน 3 รอบ เมื่อทำการสรงน้ำเสร็จก็จะมีการจุดบั้งไฟเพื่อทำการเสี่ยงทายขอฝน โดยชาวบ้านเชื่อว่าถ้าบั้งไฟขึ้นสูงก็แสดงว่าปีนั้นฝนจะดี ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าบั้งไฟไม่ขึ้นหรือบั้งไฟแตกก็แสดงว่าปีนั้นฝนจะแล้ง


ในอดีตกาล..นานมาแล้วยังมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อว่าเมือง “จำปากนาคบุรี” มีพญาครองเมืองชื่อว่า “พญาพรหมทัต” มีมเหสีชื่อ “พระนางจันทราเทวี” มีลูกสาวชื่อว่า “นางแสนสี” และมีหลานสาวชื่อว่า “นางคำแพง” ทั้งสองได้ชวนกันไปเล่นน้ำที่ทะเลหลวงกว้างใหญ่ (ทุ่งกุลาร้องไห้ในปัจจุบัน) โดยมีผู้อารักขาชื่อว่า “จ่าแอ่น” มีชายหนุ่มสองคนชื่อ “ท้าวฮาดคำโปง” และ “ท้าวทอน” ทั้งสองได้ไปศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมกับพระฤาษีที่ป่าหิมพานต์ เมื่อเรียนจบจึงได้เดินทางกลับมายังบ้านเมืองของตน เมื่อมาถึงฝั่งทะเลหลวงไม่มีเรือข้ามจึงได้ใช้คาถาเสกเป่าฟางให้เป็นเรือสำเภา ทั้งสองได้แล่นเรือมาท่ามกลางเสียงคลื่นและลมด้วยความสุขใจ
กล่าวถึงเมืองจำปากนาคบุรี มีนาคตนหนึ่งเป็นพญานาคเฝ้าดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของเมืองให้ ประชาชนอยู่ด้วยความสงบตลอดมา ส่วนนางแสนสี และนางคำแพง กับจ่าแอ่นได้ไปเล่นน้ำที่แม่น้ำทะเลหลวงกว้างใหญ่ บังเอิญท้าวฮาดคำโปง และท้าวทอน ได้นั่งสำเภามาพบจึงเกิดความรักต่อนางแสนสีและนางคำแพงผู้เป็นหลาน จึงได้เกี้ยวพาราสี และทั้งหมดได้ตกลงปลงใจพากันขึ้นสำเภาหนีไป“พญาพรหมทัต” ทราบข่าวจากทหารว่ามีคนเก่งกล้าสามารถมาลักลูกสาวหนีไป จึงได้ไปบอกพญานาคให้ช่วยเหลือ พญานาคจึงเห็นว่าถ้าไม่อยากให้สำเภาแล่นไปได้ก็ต้องทำให้น้ำทะเลเหือดแห้ง ดังนั้นพญานาคจึงดูดน้ำทะเลออกหมดทำให้ทะเลเหือดแห้งไป เมื่อทะเลแห้งแล้วท้าวฮาดและท้าวทอนได้พานางแสนสีและนางคำแพงพร้อมด้วยจ่าแอ่นเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง และพักอยู่ที่นั้นจึงได้ชื่อว่า“บ้านแสนสี” (ปัจจุบันบ้านแสนสีอยู่ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย)


ต่อมาจึงได้เรียกชื่อทุ่งนี้ว่า “ทุ่งป๋าหลาน” (อำเภอพยัคฆภูมิพิสัยในปัจจุบัน) ฝ่าย “พระอินทร์” ได้ออกมาส่องญาณวิเศษดูโลกมนุษย์ ได้มองเห็นทะเลหลวงแห้งเหือด และพวกปลา หอย กุ้ง และ สัตว์น้ำนานาชนิดได้ตายเน่าเหม็น จึงได้บอกนกอินทรีย์มากินปลาที่ทะเลหลวง นกอินทรีย์ได้กินปลา หอย ถ่ายออกเป็นก้อนขนาดใหญ่มีอยู่ทั่วไปตามทุ่ง ชาวบ้านเรียกว่าขี้นกอินทรีย์ นกอินทรีย์กินปลา หอย ในทะเลหลวงหมดแล้วก็ไม่มีอาหารกินจึงได้ไปขอรางวัลจากพระอินทร์ๆ จึงให้ช้างเป็นอาหารและรางวัล นกอินทรีย์ต่างแย่งกันกินเป็นพัลวัน หมู่หนึ่งคาบตัวไปกินทิ้งหัวไว้กลายเป็นป่าดง ต่อมาเรียกว่า “ดงหัวช้าง” (ปัจจุบันคือบ้านหัวช้างในเขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน) ส่วนอีกหมู่หนึ่งคาบได้เท้าช้างไปกินแถวดงแห่งหนึ่งชื่อว่า “ดงเท้าสาร” (เขตอำเภอสุวรรณภูมิในปัจจุบัน) และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเขตดงช้าง มีช้าง มากมาย (ปัจจุบันคือบ้านดงช้าง อำเภอปทุมรัตต์)
เมื่อ “ท้าวทอน” และ “นางแสนสี” ได้กลับมายังเมือง “จำปากนาคบุรี” พบแต่เมืองร้างเพราะประชาชนพากันหนีไป เนื่องจากกลัวนกอินทรีย์ พญานาคก็ดำดินหนีไปอยู่ที่แดนไกลเขตแม่น้ำโขง“พญาพรหมทัต” กับ “นางจันทราเทวี” ก็สิ้นพระชนม์ด้วยความคิดถึงลูกมาก ท้าวทอนและนางแสนสีได้รวมไพร่พล และประชาชนที่เหลืออยู่ มาบูรณะสร้างเมืองจำปากนาคบุรี ขึ้นใหม่ และสร้าง “พระธาตุพันขัน” ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับบิดา มารดา และไถ่บาปให้กับตนเอง ทั้งสองก็ได้ครองเมืองสืบต่อมาอย่างมีความสุขตราบจนสิ้นชีวิต
กู่วัดธาตุพันขัน. (2568). สืบค้นจากเว็บไซต์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศมรดกศิลปวัฒนธรรม กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม https://qrcode.finearts.go.th/index.php/th/historic-site/hs-roi-et/item/419-hs-roiet-018
หน่วยศิลปากรที่ 6. (2533). รายงานการขุดแต่งและค้ำยันโบราณสถานกู่กาสิงห์ บ้านกู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด. มปท. (อัดสำเนา)
ศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล. (2563). ปราสาทกู่กาสิงห์. สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี.