ปราสาทสระกำแพงใหญ่
ปราสาทขอม โบราณสถานที่มีอายุกว่า 1,000 ปี เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดของจังหวัด ภายในวัดมีสรีระของหลวงปู่เครื่อง สุภัทโท อดีตเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ ซึ่งเป็นเกจิชื่อดังของจังหวัดศรีสะเกษ นอกจากนี้ ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อยู่หลายแห่ง ทั้งอุโบสถพญานาคที่ประดิษฐานพระเมี๊ยะมุนีจำลอง รูปหล่อหลวงปู่เครื่ององค์ใหญ่ ถ้ำเงินถ้ำทอง เป็นต้น
ภายในวัดพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีสิ่งก่อสร้างที่อลังการสวยงามหลายจุด เริ่มจาก ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ ตัวปราสาทมีลักษณะคล้ายเจดีย์ หรือปรางค์โบราณ 3 องค์บนฐานเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายมีอิฐแซม ด้านหน้ามีวิหารก่ออิฐ 2 หลัง ล้อมรอบด้วยระเบียงคต ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีประตูซุ้มทั้ง 4 ทิศ

ปรางค์ประธานมีทับหลังจำหลักภาพพระอินทร์ทรงช้าง ทิศเหนือบนฐานศิลาเดียวกัน มีปรางค์ก่อด้วยอิฐ เหนือกรอบประตูมีทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่เหนือพญาอนันตนาคราชกลางเกษียรสมุทร ซึ่งมีความงดงามยิ่ง จากการขุดค้นบูรณะของกรมศิลปากรเมื่อปี พ.ศ.2535 พบวัตถุโบราณที่ทรงคุณค่าภายในบริเวณปราสาทหินสระกำแพงใหญ่อีกจำนวนมาก มีการขุดพบพระพุทธรูปปางนาคปรก เป็นพระพุทธรูปที่แกะด้วยหินศิลาทราย สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าสถานวรมันรัชกาลที่ 2-3 ราวปี พ.ศ.1153 ยืนยันถึงความเก่าแก่ของโบราณแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากปราสาทโบราณ ภายในวัดยังมีรูปหล่อหลวงปู่เครื่ององค์ใหญ่ ที่ใต้ฐานนี้จะมีสังขารของหลวงปู่เครื่องประดิษฐานอยู่สามารถเข้าไปกราบไหว้สักการะได้ทุกวัน ด้านหลังของวัดจะเป็นพิพิธภัณฑ์วัดสระกำแพงใหญ่
องค์ปราง
ปรางค์มีจำนวนทั้งสิ้น 4 องค์ เป็นปรางค์อิฐ 3 องค์ คือปรางค์องค์เหนือ ปรางองค์ใต้ และปรางค์เดี่ยว เป็นปรางค์ศิลาทราย 1 องค์ คือปรางค์องค์กลางมีมุขยื่นมาด้านหน้า ปรางค์อิฐทั้ง 3 องค์ มีแผนผังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม ทางเข้าจริงอยู่ด้านหน้าทิศตะวันออก ส่วนด้านอื่นเป็นประตูหลอก ปรางค์องค์เหนือและองค์ใต้มีทับหลังตกอยู่ข้างหน้า ซึ่งส่อว่าเป็นทับหลังแบบบาปวนอย่างแท้จริง อายุของปรางค์อิฐทั้ง 3 องค์ ควรอยู่ในช่วง พ.ศ.1560-1630 ตรงกับศิลปแบบบาปวน
ส่วนปรางค์ศิลาทรายองค์ลางมีมุขยื่นออกมาด้านหน้า คงจะมีอายุเก่ากว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดของโบราณสถานแห่งนี้ เพราะว่าพบชิ้นส่วนหน้าบันหลายชิ้นที่มีอายุในราว พ.ศ.1515-1560 ตรงกับศิลปแบบเกลียง และทับหลังด้านในซึ่งก็ยังีรูปแบบศิลปแบบเกลียงปรากฏอยู่ร่วมกับศิลปแบบบาปวน (หัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเกลียงกับบาปวน) ดังนั้นปรางค์องค์นี้จึงควรมีอายุอยู่ในช่วง 1515-1600 และคงเริ่มสร้างก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมดด้วย


พระพุทธรูปนาคปรก
พระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหารใหม่ที่ทางวัดสร้างาขึ้นเป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง 56 เซนติเมตร ปางสมาธิ ประดับนั่งขัดสมาธิราบอยู่บนขนดนาค 3 ชั้น นาคมี 7 เศียร เศีรกลางมองตรงออกมา และอีก 6เศียรหันมามองเศียรกลาง ขนดนาคมีลักษณะที่สอบลง องค์พระพุทธรูปนั้นครองจีวรห่มเฉียง ซึ่งสังเกตได้จากผ่นเบื้องหลังที่แสดงถึงจีวร จะเห็นได้ว่าโปร่งทางด้านขวาและหีบทางด้านซ้าย ที่พระกรซ้ายก็มีเส้นนูนเล็กๆ 2 เส้น ที่แสดงให้เห็นถึงขอบจีวร และที่นั้นพระองค์ก็มีเส้นนูนที่แสดงถึงสบง ที่ข้อพระบาทก็แสดงถึงขอบสบง โดยเส้นนูนเล็กๆ 2 เส้นเช่นกัน และที่เศียรของพระพุทธรูปนั้นมีพระเนตรที่สลักลึกลงไป พระขนงนูนออกมา เล็กน้อยไม่ต่อกัน ขมวดพระเกศามีลักษณะกลมและค่อนข้างเล็กเรียงเป็นแนวแถวที่เป็นระเบียบขึ้นมา พระเกตุมาลาเป็นรูปกรวยที่ยื่นขึ้นไปเหนือพระเกศาและมีพระหนุบุ่มลงไปเล็กน้อย
จากลักษณะของพระพุทธรูปนาคปรกดังกล่าว จะเห็นได้ว่าลักษณะของพระเนตรที่สลักลึกลงไป ขมวดพระเกศาที่มีขนาดเล็กและนูนออกมาเล็กน้อยและมักจัดได้เป็นระเบียบเรียงติดต่อกันไป พระเกตุมาลาเป็นรูปกรวยที่ยื่นไปเหนือพระเกศานี้เป็นลักษณะเค้าพระพักตร์ของพระพุทธรูปนาคปรก ในประเทศกัมพูชาในศิลปแบบบาปวน และลักษณะของพระองค์ที่ดูคล้ายกับว่าเปลื่อยเปล่า แต่มีสบงซึ่งแสดงโดยขอบนูนที่บั้นพระองค์และข้อพระบาท ตลอดจนลักษณะของนาคซึ่งมี 7 เศียร ลำดตัวม้วนขมวดเป็นขนด 3 ชั้นสอบลง เศียรนาคไม่มีรัศมีประกอบ และเศียรด้านข้างก็มองไปยังเศียรกลางก็เป็นลักษณะของพระพุทธรูปในสมัยบาปวนเช่นกัน ดังนั้น พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 1560-1630 หรือตรงกับศิลปแบบบาปวนนั่นเอง และยังสามารถเปรียบเทียบได้กับพระพุทธรูปนาคปรกศิลาจากเปียมเแียง พิพิธภัณฑสถานกรุงพนมเปญ ซึ่งอยู่ในสมัยบาปวนเช่นเดียวกันได้

บรรณาลัย
บรรณาลัยมีจำนวน 2 หลัง จากรูปทรงและแผนผังนั้นอยู่ในช่วง พ.ศ. 1560-1630 ประกอบกับทับหลังด้านหน้าทิศตะวันตกก็เป็นทับหลังที่เป็นแบบบาปวนอย่างแท้จริง (พ.ศ.1560-1630) ดังนั้น บรรณาลัยทั้งสองหลังจึงควรมีอายุอยู่ในระหว่าง พ.ศ.1560-1630 คือตรงกับศิลปแบบบาปวน เช่นกัน
ระเบียงคด
จากลักษณะของตัวระเบียงคดและซุ้มประตูทางเข้าหรือโคปุระมีอายุอยู่ในราว พ.ศ.1560-1630 หรือตรงกับศิลปแบบบาปวน

ทับหลัง
จำนวนทั้งหมด 7 แผ่น แบ่งเป็นทับหลัง 6 แผ่น และแผ่นศิลาสี่เหลี่ยมสลักลาย (Frise) 1 แผ่น
แผ่นที่ 1 รูปพระองค์ทรงช้างเอราวัณ อยู่ที่ทางเข้าด้านในของปรางค์องค์กลาง มีอายุอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ระหว่างศิลปแบบเกลียง (พ.ศ.1515-1560) และบาปวน (พ.ศ.1560-1630)
แผ่นที่ 2 รูปเทวดาประทับนั่งเหนือหน้ากาล อยู่ที่หน้าปรางค์อิฐ เหนือมีรูปแบบศิลปแบบบาปวนอย่างแท้จริง (พ.ศ.1560-1630
แผ่นที่ 3 ทับหลังแผ่นนี้อยู่ที่หน้าปรางค์อิฐองค์ใต้ สันนิษฐานได้เป็น 2 ลักษณะ
ลักษณะที่ 1 เป็นรูปเทวดาประทับนั่งเหนือหน้ากาล ก็จะเป็นศิลปแบบบาปวนอย่างแท้จริง (พ.ศ.1560-1630)
ลักษณะที่ 2 เป็นรูปลายพันธุ์พฤกษาอยู่เหนือหน้ากาล ก็จะเป็นศิลปแบบช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างศิลปแบบเกลียง (พ.ศ.1515-1560) และบาปวน (พ.ศ.1560-1630) แต่เข้าใจว่าจะเปนแบบลักษณะที่ 1 มากกว่า
แผ่นที่ 4 รูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ อยู่หน้าบรรณาลัยหลังเหนือ เป็นทับหลังแบบบาปวนอย่างแท้จริง (พ.ศ.1560-1630)
แผ่นที่ 5 รูปพระอิศวรอุ้มนางปารพดประทับนั่งบนหลังโคอุศุภราช อยู่หน้าบรรณาลัยหลังใต้ เป็นทับหลังแบบบาปวนเช่นกัน (พ.ศ.1560-1630)
แผ่นที่ 6 รูปสิงห์สองตัวคายลายก้านขดอยู่ทางด้านในของประตูทางเข้าทิศใต้ของระเบียงคดด้านตะวันออก กำหนดอายุสมัยยาก หากพิจารณาร่วมกับลักษณะของระเบียงคดและซุ้มประตูทางเข้าควรเป็นแบบบาปวน (พ.ศ.1560-1630)


แผ่นศิลาสลักลาย (Frise)
รูปเทวดาเก้าองค์ประทับนั่งบนพาหนะอยู่ภายในซุ้ม อยู่ในวิหารหลังใหม่ที่ทางวัดสร้างขึ้น เป็นแบบบาปวนเช่นกัน (พ.ศ.1560-1630)
เสาประดับผนัง
มีอยู่ 3 ด้าน ที่ปรางค์องค์กลาง คือด้านทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศเหนือ
ทิศตะวันออก ลายก้านต่อดอก ศิลปแบบบาปวนแท้จริง (พ.ศ.1560-1630)
ทิศใต้ ลายประจำยาม (กำหนดร่วมกับด้านอื่น เพราะเป็นลายพิเศษ) คงจะเป็นแบบบาปวนเช่นกัน (พ.ศ.1560-1630)
ทิศเหนือ ลายก้านขดมีรูปสัตว์ (นก) ประกอบอยู่แบบบาปวน (พ.ศ.1560-1630)
ชิ้นส่วนหน้าบัน
ทั้งหมด 6 ชิ้น เป็นของปรางค์องค์กลางเสีย 5 ชิ้น ชิ้นที่ 1-5 ซึ่งหล่นอยู่บริเวณรอบๆ องค์ปรางค์ และชิ้นที่ 6 อยู่ที่ซุ้มประตูหลอกของมุมระเบียงคดด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
ชิ้นที่ 1 รูปหน้ากาลมีแขนมนุษย์ประกอบ ศิลปแบบเกลียง (พ.ศ.1515-1560)
ชิ้นที่ 2 รูปหน้ากาลมีแขนมนุษย์ประกอบ ศิลปแบบเกลียง (พ.ศ.1515-1560)
ชิ้นที่ 3 รูปหน้ากาลคายนาค 5 เศียร นาคมีเศียรโล้น ศิลปแบบบาปวน (พ.ศ.1560-1630)
ชิ้นที่ 4 รูปหน้ากาล 2 ตัว ชนเป็นมุมฉาก คายนาค 5 เศียร หน้ากาลมีแขนมนุษย์ประกอบ และมีกรอบหน้าบัน ซึ่งภายในมีลายก้านต่อดอกศิลปแบบบาปวน (พ.ศ.1560-1630)
ชิ้นที่ 5 รูปโคและบุรุษ ซึ่งมีแค่ส่วนท่อนล่าง ศิลปแบบบาปวน (พ.ศ.1560-1630)
ชิ้นที่ 6 รูปนาคปลายกรอบหน้าบัน 5 เศยร เป็นนาคเศียรโล้น กรอบหน้าบันเรียบมีสันนูนเล็กน้อย ศิลปแบบบาปวน (พ.ศ.1560-1630)

กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2478 และประกาศกำหนดขอบเขตที่ดินโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 119 ตอนพิเศษ 117ง วันที่ 29 พฤศจิกายน 2545 เนื้อที่ 53 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา
เอกสารอ้างอิง
อนันต์ พงศ์ภาค. (2526). ปราสาทกำแพงใหญ่ ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ. สารนิพนธ์ศิลปบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร.