กู่กาสิงห์

กู่กาสิงห์ ตั้งอยู่ใน วัดบูรพากู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ถือว่าเป็นโบราณสถานสถาปัตยกรรมแบบเขมรอีกแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่และยังอยู่ในสภาพ

ปราสาทกู่กาสิงห์ ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 หน้า 3696 วันที่ 8 มีนาคม 2478 และประกาศขอบเขตพื้นที่โบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา 116 ตอนพิเศษ 17 ง หน้า 15 วันที่ 17 มีนาคม 2542 มีพื้นที่ประมาณ 12 ไร่ 2 งาน 30.56 ตารางวา

 “กู่กาสิงห์” สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “กู่” ที่ชาวบ้านใช้เรียกโบราณสถานขอมที่มีลักษณะคล้ายสถูปหรือเจดีย์ ส่วนคำว่า “กา” อาจหมายถึง อีกา ซึ่งในอดีตบริเวณนี้มีอีกาอยู่จำนวนมาก ตามที่คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่าตอนเย็นมักจะมีอีกาจำนวนมาก พากันมานอนที่หนองน้ำเรียกว่า หนองกานอน ส่วนคำว่า “สิงห์” อาจมาจากประติมากรรมรูปสิงห์ 2 ตัว ที่เคยตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้า ซึ่งประติมากรรมรูปสิงห์ถูกขโมยไป ในช่วง พ.ศ.2503 แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกปราสาทแห่งนี้ว่า “กู่กาสิงห์” สืบมาจนปัจจุบัน

ปราสาทกู่กาสิงห์ ลักษณะเป็นปราสาทอิฐสามหลัง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน สร้างหันหน้าไป ทางทิศตะวันออก มีผังการก่อสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 35 × 50 เมตร มีกำแพงแก้วล้อมรอบปราสาทประธานทั้ง 4 ด้าน ตั้งอยู่ในแนวแกนทิศตะวันออก – ตะวันตก ประกอบด้วยกลุ่มปราสาทประธาน ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ปราสาทประธานอยู่ตรงกลางมีมุขกระสันเชื่อมกับมณฑป มีประตูและบันไดทางขึ้นทางด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว อีกสามด้านทำเป็นประตูหลอก ถัดเข้าไปเป็นห้องครรภคฤหะ มีประติมากรรมโคนนทิ ตั้งอยู่ด้านหน้าปราสาทประธานองค์กลาง ส่วนปราสาทด้านทิศเหนือและทิศใต้ เป็นเพียงห้องครรภคฤหะสำหรับประดิษฐานประติมากรรมรูปเคารพสำหรับประกอบพิธีกรรม มีบรรณาลัยตั้งอยู่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง หันหน้าไปทางทิศตะวันตกทั้ง 2 หลัง และมีโคปุระ (ซุ้มประตู) ทั้ง 4 ด้าน ก่อด้วยศิลาแลงผสมอิฐ แต่สามารถใช้เข้าออกได้แค่ด้านทิศตะวันออกและด้านทิศตะวันตก

จากการขุดแต่งปราสาทกู่กาสิงห์ เมื่อปี พ.ศ. 2533 ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญจำนวนมาก เช่น ประติมากรรมพระคเณศ เศียรประติมากรรม ศิวลึงค์หินทราย แผ่นทองคำรูปดอกบัว 8 กลีบ เครื่องประดับทองคำรูปนาค 5 เศียร และ ชิ้นส่วนคานหามสำริดรูปนาค 3 เศียร จากหลักฐานที่พบสามารถสันนิษฐานได้ว่าปราสาทกู่กาสิงห์ถูกสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 โดยกำหนดอายุจากรูปแบบการวางผังอาคาร ที่มีลักษณะคล้ายกับปราสาทบาปวน รวมถึงความสอดคล้องของหลักฐานที่พบจากการขุดแต่งโบราณสถานที่มีรูปแบบศิลปะร่วมสมัยกับตัวโบราณสถาน ได้แก่ ทับหลัง และเสาประดับกรอบประตู จึงสันนิษฐานว่า ปราสาทกู่กาสิงห์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในลัทธิไศวนิกาย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 และโบราณสถานแห่งนี้ได้ใช้งานเรื่อยมาจนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 17 – 18 (ศิลปะนครวัด – บายน) เนื่องจากพบหลักฐานเป็นเครื่องเคลือบเขมร และชิ้นส่วนยอดคานหามรูปเศียรพญานาคศิลปะเขมรแบบนครวัด นอกจากนี้ ปราสาทกู่กาสิงห์ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับโบราณสถานอีก 2 แห่ง ที่อยู่ใกล้เคียงกัน คือ กู่โพนวิจ (อายุสมัยราวพุทธศตวรรษที่ 16 ศิลปะคลัง – บาปวน) และกู่โพนระฆัง (อายุสมัยราวพุทธศตวรรษที่ 18 สมัยบายน) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 สันนิษฐานว่ามีการรื้อศิลาแลงจากปราสาทกู่กาสิงห์ มาใช้ก่อสร้างกู่โพนระฆังเพื่อเป็นอโรคยศาล แสดงให้เห็นถึงการหมดความสำคัญของลัทธิไศวนิกายในชุมชนแห่งนี้ และหันมานับถือพุทธศาสนานิกายมหายานแทน

สำนักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด. (2556). ทำเนียบโบราณสถานขึ้นทะเบียนสำนักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด (พ.ศ. 2478 – 2545).  บริษัทเพ็ญพรินติ้งจำกัด.

หน่วยศิลปากรที่ 6. (2533). รายงานการขุดแต่งและค้ำยันโบราณสถานกู่กาสิงห์ บ้านกู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด. มปท. (อัดสำเนา)

ศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล. (2563). ปราสาทกู่กาสิงห์. สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี.