กู่มหาธาตุ
ปรางก์กู่บ้านบ้านเขวา มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ทำด้วยศิลาแลงเป็นรูปกระโจมสี่เหลี่ยม สร้างขึ้นเพื่อเป็นอโรคยาศาล ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นศิลปะขอมแบบบายน ทำด้วยศิลาแลงเป็นรูปกระโจมสี่เหลี่ยม สูงจากพื้นดินถึงยอด 4 วา กว้าง 2 วา 2 ศอก ภายในปราสาท มีเทวรูปทำด้วยดินเผา 2 องค์ นั่งขัดสมาธิ ประนมมือ ถือสังข์ มีกำแพงทำด้วยศิลาแลงล้อมรอบ โคปุระ ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้มีบรรณาลัย 1 หลัง มีซุ้มประตูอยู่กึ่งกลางกำแพงแก้ว ด้านหน้าเป็นทางเข้าออกเพียงด้านเดียว ส่วนอีก 3 ด้าน เป็นประตูหลอก กรอบประตูและทับหลังเป็นหินทราย กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งเรียบร้อยแล้ว
หมู่ที่ 17 บ้านเขวา อำเภอเมืองถนนมหาสารคาม-ร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม, มหาสารคาม ห่างจากตัวเมืองมหาสารคามไปตามถนนแจ้งสนิท 13 กิโลเมตร
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานกู่บ้านเขวา 2 ครั้ง คือ
– ประกาศกำหนดจำนวนโบราณสถานสำหรับชาติ ในราชกิจจนุเบกษา เล่ม 52 วันที่ 8 มีนาคม 2478 หน้า 3695 (คูมหาธาตุ)
– ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจนุเบกษา เล่ม 118 ตอนพิเศษ 29ง วันที่ 26 มีนาคม 2544 (กู่บ้านเขวา)
การเข้ามาของกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานกู่บ้านเขวา ดังข้อความในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 ถือเป็นระยะแรกที่มีการเข้ามามีบทบาทของหน่วยงานรัฐที่มีต่อโบราณสถาน แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์แต่อย่างใดลักษณะแผนผังของโบราณสถานประกอบไปด้วยปราสาทประธานตั้งอยู่ตรงกลาง มีประตูทางเข้า (โคปุระ) สู่โบราณสถานอยู่ทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปรางค์ประธานมีวิหาร (บรรณาลัย) หันหน้าเข้าหาปราสาทประธาน โบราณสถานทั้ง 3 ตั้งอยู่ภายในแนวกำแพงแก้วล้อมรอบซึ่งสร้างต่อเชื่อมออกจากโคปุระเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นจากฐานบัว ประตูทางเข้าปราสาทประธานอยู่ที่กึ่งกลางเรือนธาตุด้านตะวันออก ส่วนอีก 3 ด้านท าเป็นประตูหลอก วงกบประตูทางเข้าปราสาทประธานตัวล่างและตัวข้างแนวตั้ง 2 ตัวทำด้วยศิลาแลง และส่วนทับหลังเหนือวงกบท าด้วยหินทรายสีแดงและไม่พบหลักฐานเสาประดับกรอบประตูและเสาติดผนังบริเวณทางเข้าปรางค์ประธาน ห้องมุขด้านหน้ามีประตูทางเข้าตั้งอยู่ในแนวเดียวกันกับประตูทางเข้าประธาน (ห้างหุ้นส่วนจำกัดปุราณรักษ์, 2541, หน้า 27-28) ส่วนถนนและการคมนาคมในช่วงที่มีการเข้ามามีบทบาทของกรมศิลปากรทำให้บริเวณพื้นที่กู่บ้านเขวาเกิดการพัฒนาเส้นถนนซึ่งก่อนหน้านี้เป็นทางเกวียน
ภายในปราสาทก็จะมี เทวรูป ที่ทำจากดินเผา 2 องค์ นั่งขัดสมาธิ ประนมมือ ถือสังข์ รวมถึงยังมีกำแพงทำด้วยศิลาแลงล้อมรอบอีกชั้น ส่วนโคปุระ ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีบรรณาลัย 1 หลัง มีซุ้มประตูอยู่กึ่งกลางกำแพงแก้ว ส่วนด้านหน้าเป็นทางเข้าออก ที่มีเพียงด้านเดียวเท่านั้น ส่วนอีก 3 ด้านนั้น จะเป็นประตูหลอก กรอบประตูและทับหลังก็เป็นหินทราย ซึ่งที่นี่กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งเรียบร้อยแล้ว
กู่บ้านเขวาเป็นโบราณสถานที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ตั้งอยู่ริมหนองกระทุ่ม ซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ภูมิทัศน์โดยรอบได้รับการการปรับปรุงพัฒนาโดยองค์การบริหารส่วนตำบลเขวา ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ มีทิวทัศน์ที่สงบสวยงามทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม นอกจากนี้ ชาวบ้านในพื้นที่ ยังได้ให้ความเคารพสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในปรางค์กู่บ้านเขวาเป็นอย่างมาก
ลักษณะโดยรวม
ปรางค์กู่บ้านเขวาแบ่งเป็น3 ส่วนส าคัญ ได้แก่ ปรางค์ประธาน กำแพงแก้วและโคปุระ และซากวิหารหรือบรรณาลัย สิ่งก่อสร้างที่กล่าวมาข้างต้นใช้ศิลาแลงเป็นสัมภาระในการก่อสร้าง ศิลาแลงเป็นดินที่มีแร่เหล็กปนรวมตัวกันจนมีความแข็งเป็นที่นิยมในการใช้เป็นสัมภาระก่อสร้างสถาปัตยกรรมในศิลปะเขมรแบบบายน ซึ่งอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แผนผังของปรางค์กู่บ้านเขวาประกอบด้วยปรางค์ประธาน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน เป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้า มีโคปุระอยู่ทางทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว มีวิหารหรือบรรณาลัยขนาดเล็กสร้างอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปรางค์ประธาน
ชาวบ้านมีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยชาวบ้านเชื่อว่ากู่บ้านเขวาเป็นที่สิ่งสถิตของเจ้าพ่อปรางค์กู่ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวบ้านนั้นพบว่าเจ้าพ่อปรางค์กู่สามารถดลบันดาลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล และปกป้องคนในครอบครัวหรือชุมชนให้รอดพ้นจากภัยอันตรายต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถบนบานขอให้ประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนา ด้วยความศักดิ์สิทธิ์นี้เองทำให้ความเชื่อไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามเท่านั้น แต่ยังแพร่ไปในพื้นที่โดยรอบท าให้มีผู้ศรัทธาจากกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ดเดินทางมาร่วมด้วย ถึงแม้เส้นทางเข้ามายังกู่บ้านเขวาในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2478 จะลำบากก็ตาม (หนูไกร คำวิจารณ์, 2564)
ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2532 กรมศิลปากรได้เข้ามาดำเนินการขุดแต่ง และขุดค้นเพื่อศึกษาโบราณสถาน โดยคณะทำงานจากหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น ได้มาขุดแต่งและขุดศึกษาโบราณสถานกู่บ้านเขวา ในขณะนั้นได้ค้นพบหลักฐานโบราณวัตถุ ได้แก่ ภาชนะดินเผา พระพุทธรูปบุเงินภายในภาชนะดินเผา ประติมากรรมหินทรายรูปพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑ
การขุดแต่งและขุดค้นศึกษาโบราณสถาน มีการค้นพบโบราณวัตถุ ได้แก่ เศษภาชนะดินเผาประเภทเนื้อแกร่ง แบบเขมร ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 แสดงให้เห็นถึงการใช้อโรคยศาลในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17-18 และขุดค้นพบพระพุทธรูปบุเงินเป็นพระพุทธรูปสมัยล้านช้าง มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 23 นอกจากนี้ยังพบหลักฐานอื่น ๆ ได้แก่ ประติมากรรมหินทรายรูปพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑ เทียบเคียงได้กับที่พบในปราสาทบันทายฉมาร์ ซึ่งมาอายุราวสมัยบายน พุทธศตวรรษที่ 18 และการค้นพบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองข้างประคองน้ำมนต์ เรียกว่าพระโพธิสัตว์ไภสัชยคุรุไวฑูรยประภา ประติมากรรมอีกรูปหนึ่งคือ รูปพระโพธิสัตว์วัชรธร (ห้างหุ้นส่วนจำกัดปุราณรักษ์, 2541, หน้า 42)
ในปี พ.ศ.2541 มีการประกาศกำหนดเขตพื้นที่โบราณสถานกู่บ้านเขวา ในราชกิจานุเบกษา เล่ม 118 ตอนพิเศษ 29 ง วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2544 บนพื้นที่ 4 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวา นับตั้งแต่การสถาปนาอ านาจของรัฐโดยหน่วยงานที่เรียกว่ากรมศิลปากร ทำหน้าที่ควบคุมดูแลโบราณสถานกู่บ้านเขวานั้น มิได้มีงบประมาณเข้ามาสนับสนุนหรือดูแลโบราณสถานกู่บ้านเขวาอีกเลย ทำให้คนในชุมชนต้องปรึกษาหารือกันเพื่อหาทางออก ทำให้องค์กรบริหารส่วนตำบลเขวาดำเนินการส่งหนังสือเรื่องการถ่ายโอนภารกิจโบราณสถานถึงผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 (องค์การบริหารส่วนต าบลเขวา, 2559) จากนั้น สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ได้มีหนังสือถึงนายกองค์กรบริหารส่วนต าบลเขวา เรื่องการส่งมอบการถ่ายโอนภารกิจการดูแลรักษาโบราณสถาน วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561 ซึ่งทำให้องค์การบริหารส่วนตำบลเขวา ได้รับสิทธิ์ในการดูแลโบราณสถานกู่บ้านเขวานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ส ำนักงานโบราณคดีและพิพิธพันธสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น .(2541). รายงานการบูรณะโบราณสถานปรางค์กู่บ้านดอนดู่ (กู่บ้านเขวา) ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. ขอนแก่น: ห้างหุ้นส่วนจำกัดปุราณรักษ์.
สมชาติ มณีโชติ. (2531). ปรางค์กู่บ้านเขวา “อโรคยศาล”.มหาสารคาม: ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม วิทยาลัยครูมหาสารคาม
เมวลัย นิมิตร1 และนราวิทย์ ดาวเรือง. (2565). สรงกู่บ้านเขวากับการกลายเป็นประเพณีประดิษฐ์ ช่วงปี พ.ศ. 2535-2564. วารสาร มจร กาญจนปริทรรศน์, 2(2), https://so05.tci-thaijo.org/index.php/Kanchana-editor/article/view/256992/174491
วิโรจน์ ชีวาสุขถาวร. (2548). การศึกษาแนวความคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นประเภทสิมในจังหวัดมหาสารคาม. มหาสารคาม : คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
องค์การบริหารส่วนตำบลเขวา.(2559). เรื่องการโอนภารกิจโบราณสถาน. มหาสารคาม: องค์การบริหารส่วนตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม.

