ปราสาทปรางค์กู่

ปรางค์กู่ หรือที่ภาษากูย เรียกว่า “เถียด เซาะโก” เป็นศาสนสถานเนื่องในศาสนาฮินดูประจำชุมชน ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ  จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานในลัทธิไศวนิกาย ปราสาทปรางค์กู่ สร้างขึ้นในราว ศตวรรษที่ 16 มีลักษณะเป็นปรางค์ 3 องค์ สร้างเป็นแนวเหนือไปใต้อยู่บนฐานขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐปนแลง เป็นศิลปขอมที่งดงามเชิงสถาปัตยกรรมขอมโบราณ ที่ยังคงหลงเหลือให้เป็นของขวัญทางประวัติศาสตร์แก่ลูกหลานไว้หลายแห่งหน กระจายไปทั่วภาคเหนือ ภาคอีสาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของ ” ราชอาณาจักรขอม “ภายใต้การปกครองของ “จักรวรรดิขะแมร์ ” ก่อนที่ล่มสลายไปหลังจากที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สิ้นพระชนม์  ” หลังจากนั้นราชวงศ์พระร่วง “แห่ง ” กรุงสุโขทัย “ก็ขึ้นมาแทนที่อาณาจักรขอม ที่ล่มสลายลงในที่สุด 

 

ปรางค์กู่ ประกอบด้วยปราสาท 3 หลัง เรียงตัวตามแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าเดียวกัน ฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพิ่มมุมเฉพาะด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเพื่อสอดรับกับบันไดทางขึ้น ปราสาททั้ง 3 หลัง ก่อสร้างด้วยศิลาแลง อิฐ และหินทราย มีคูน้ำล้อมรอบเป็นรูปตัวยู (U) เว้นทางเข้าเฉพาะด้านทิศตะวันออก บริเวณด้านหน้า ระยะทาง 200 เมตร เป็นสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ขนาดกว้าง 270 เมตร ยาว 550 เมตร กำหนดอายุอยู่ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 – ค้นพุทธศตวรรษที่ 17 

สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยที่อาณาจักรขอมเรื่องอำนาจ ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ของอาณาจักรเขมรที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนขอม ที่ได้สร้างพุทธสถาน ไว้มากมายเช่น ปราสาทบันทายคดี ปราสาทตาพรม ในกัมพูชา

ปราสาทปรางค์กู่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นศาสนสถานที่ได้รับอิทธิพลศิลปะเขมร ลักษณะเป็นปราสาท 3 หลัง สร้างเป็นแนวเรียงหน้ากระดานจากทิศใต้ไปทิศเหนือ ตั้งอยู่บนฐานที่สร้างด้วยหินศิลาแลงทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นปราสาทขนาดเล็ก แต่ยังคงเอกลักษณ์ความโบราณ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ตัวปราสาทมีความสมบูรณ์พอสมควร มีความโดดเด่นด้วยการนำแผ่นหินแกะสลัก คล้ายกับหน้าบันประตูวางเรียงรายหน้าปราสาท เป็นความแปลกตาที่ไม่เคยเห็นในปราสาทหินที่ใดมาก่อน  

ปราสาทปรางค์กู่ ” น่าจะเป็นหนึ่งใน 121 ของที่พักของคนเดินทางที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างขึ้นทั่วราชอาณาจักรที่เชื่อมกับเส้นทางไปยังเมืองต่างๆ เช่น เส้นทางไปยังปราสาทหินพิมายมี 17 แห่ง ระยะห่างแต่ละแห่งห่างกันราว 15 กิโลเมตร ที่พักคนเดินทางเหล่านี้จะก่อด้วยก้อนศิลา และจะมีการจุดไฟไว้ตลอด ซึ่งนักโบราณคดีได้เรียกอาคารลักษณะแบบนี้ว่า ” ธรรมศาล

จากจารึกโบราณทำให้เชื่อกันว่า ปราสาทปรางค์กู่ก็คือหนึ่งใน ” อโรคยาศาลา ” หรือถ้าปัจจุบันก็คือโรงพยาบาล จาก 102 แห่งทั่วบริเวณไทยและกัมพูชา สร้างเพื่อเป็นที่พัก รักษาพยาบาล ของชุมชนไกล้เคียง สังเกตุว่าใกล้ๆปราสาท จะมีหนองน้ำไว้ น่าจะเพื่อเป็นแหล่งน้ำบริโภคสำหรับชุมชนนั่นเอง

 ทับหลัง จากปราสาทปรางค์กู่ เราพบทั้งสิ้น 3 ชิ้น โดยประดับอยู่บริเวณประตูทางเข้า ของปราสาททั้ง 3 หลัง ดังนี้

ทับหลังปราสาทประธาน วัสดุหินทราย สลักภาพ “พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ” ประทับอยู่บนแท่นเหนือหน้ากาลแยกเขี้ยวคายท่อนพวงมาลัยออกไปทั้ง 2 ข้าง ท่อนพวงมาลัยสลักเป็นรูปกลีบบับผสมลายก้านขด ที่ปลายท่วนพวงมาลัยสลักเป็นลายใบไม้ม้วน เช่นเดียวกับใต้ท่อนพวงมาลัยซึ่งจำหลักภาพลายใบไม้ม้วนประกอบจนเต็มทับหลัง นายศิริ แหวนเงิน ปราชญ์ท้องถิ่นระบุว่า ก่อนการขุดศึกษาโบราณสถานในปี 2531 ตนยังพบศิวลึงค์และฐานโยนี ในทางประติมานวิทยา พระอินทร์ เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันออก ความพิเศษของช้างเอราวัณที่พบ มีลักษณะเป็นช้างเศียรเดียว มีลักษณะคล้ายกับทับหลังที่พบจากปราสาทสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย ปราสาทตาเล็ง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ และปราสาทบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 ร่วมสมัยกับปรางค์กู่

ทับหลังปราสาทด้านทิศเหนือ วัสดุหินทราย สลักภาพเล่าเรื่อง “รามายนะ ตอน พระราม พระลักษณ์ถูกศรนาคบาศ” โดยพระราม และพระลักษมณ์อยู่ในท่านอนถูกรัดด้วยนาคบาศ แวดล้อมด้วยเหล่าวานร โดยฝูงวานรดังกล่าวแสดงความเคลื่อนไหวและแสดงอาการเสียใจอย่างเห็นได้ชัด ตอนบนของภาพสลักภาพบุคคลหรือเทวาดาเหาะ ตรงกลางสลักรูปบุคคลถือคันธนู สันนิษฐานว่า เป็นอินทรชิต เนื่องจากในเรื่องอินทรชิตเป็นผู้ยิงศรนาคบาศใส่พระราม พระลักษมณ์ ปัจจุบันเก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

ทับหลังปราสาทด้านทิศใต้ วัสดุหินทราย สลักภาพเป็นภาพ “พระวิษณุสี่กร (เป็นผู้รักษาโลก) ทรงถือ สังข์ จักร คทา และดอกบัว” ประทับยืนอยู่บนครุฑซึ่งเป็นพาหนะของพระองค์ ส่วนครุฑยืนอยู่บนหลังสิงห์ 2 ตัว ที่หันหลังหากัน สิงห์ทั้ง 2 ตัว เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ คายท่อนพวงมาลัยออกมา โดยใช้มือจับยึดท่อนพวงมาลัยไว้ ปลายท่อนพวงมาลัยนั้นจำหลักเป็นรูปมกรคายนาคออกมาให้เห็นในด้านข้าง 3 เศียร ตอนบนของภาพสลักเป็นรูปบุคคลร่ายรำ สันนิษฐานว่าเป็นเทวดา ฝั่งละ 3 องค์ มุมซ้ายและขวาสลักรูปบุคคลนั่งชันเข่าสันนิษฐานว่าเป็นบริวาร ปัจจุบันเก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2478 และกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานเป็นพื้นที่ประมาณ 12 ไร่ 2 งาน 39 ตารางวา ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 155 วันที่ 21 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2525

เอกสารอ้างอิง

วรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา. (2566). ภาพสลักทับหลังโบราณสถานปรางค์กู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ. กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร  ค้นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2566, จาก  https://mocbackend.m-culture.go.th/province/ewt/surin/ewt_news.php?nid=3038&filename=index

ปราสาทปรางค์กู่ ศรีสะเกษ. (2562, พฤศจิกายน 13). ไปด้วยกัน. ค้นเมื่อ 5 พฤษภาคม 2566, จาก https://www.paiduaykan.com/