พญานาค
คนไทยเรียกสัตว์ที่มีลำตัวยาว เลี้ยไปด้วยอกว่า “งู” ในสมัยดึกดำบรรพ์คงมีงูขนาดใหญ่และเล็กให้เห็นอยู่เสมอ จึงเรียกเป็น 2 ขนาด เรียกว่า “งูเล็ก” และ “งูใหญ่” อย่างที่เรียกปีนักษัตรว่า “มะเส็งงูเล็ก” และ “มะโรงงูใหญ่” เมื่อเขียนเป็นรูปลักษณะ ปีมะเส็งงูเล็กก็จะเขียนเป็นรูปงูธรรมดา ส่วนปีมะโรงก็จะเขียนเป็นรูป “พญานาค” (ส.พลายน้อย, 2554, หน้า 94)
คำว่า “นาค” จะเข้ามาใช้ในภาษาไทยเมื่อไหร่ไม่ทราบ พิจารณาตามรูปภาษาแล้วน่าจะในสมัยที่ไทยรู้จักพระพุทธศาสนา เพราะคำว่า “นาค” เป็นภาษาบาลี หมายถึง งู ในหนังสือ “ประเพณีฮินดู” ของ Abbe J.A. Dubois อธิบายว่า ชาวฮินดูเรียกงูเห่า (Cobra) ว่า นาคา หรือ นาคะ (Naga) ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของงูเห่าก็คือจะชูหัวแผ่แม่เบี้ยหรือแผ่พังพาน พร้อมที่จะฉกจวักทำร้ายศัตรูได้ทุกโอกาส (ส.พลายน้อย, 2554, หน้า 95)
นาคในคัมภีร์พระพุทธศาสนา จะหมายถึงงูใหญ่ และเมื่อจะให้ความหมายเด่นชัดขึ้นจึงเติมคำว่า “พระยา” หรือ “พญา” ที่หน้าคำว่า “นาค” เป็น “พระยานาค” หรือ “พญานาค” เพื่อให้เห็นความสำคัญเด่นชัดมากขึ้น อนึ่งคำว่า “นาค” ในภาษาสันสกฤตยังหมายถึงนรเทพ คือหน้าเป็นมนุษย์มีหางเป็นงู ซึ่งเกิดจากพระกัศยปกับนางกัทรุอีกด้วย (ส.พลายน้อย, 2554, หน้า 95)
นิยายปรัมปราเกี่ยวกับงูมีเรื่องเล่ามากมายตั้งแต่โบราณกาล โดยเฉพาะในอียิปต์ อินเดีย จีน และญี่ปุ่น ล้วนแต่มีเรื่องของงู แต่เปลี่ยนรูปร่างไปตามจินตนาการ ชื่อที่ใช้เรียกแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ชาวตะวันตกโบราณเรียกสัตว์ตัวยาวว่า “Nake” ซึ่งเข้าเค้ากับคำว่า “Snake” ที่หมายถึง “งู” และคำว่า “Nake” ก็ออกมาจากคำว่า “Naga” ของอินเดีย (ในภาษาบาลีและสันสกฤตเรียกงูว่านาคเหมือนกัน) ในภาษาอังกฤษเรียกสัตว์ประเภทนี้ว่า Dragon แปลว่า “มังกร” ในภาษาไทย และคำว่า “มังกร” ในภาษาไทยมาจากคำว่า “มกร” ในภาษาบาลีและสันสกฤต ด้วยเหตุนี้ นักปราชญ์ทางโบราณคดีจึงอธิบายว่า นาคและมังกร มีที่มาจากงู เพราะมีลำตัวยาว ส่วนมังกรที่มีตีนเสริมขึ้นมานั้นก็ได้ความคิดมาจากจระเข้ (ส.พลายน้อย, 2554, หน้า 97)
คติความเชื่อ และการเคารพนับถือ “งู” หรือ “นาค” ในทวีเอเซียนั้น เชื่อว่ามีกำเนิดจากประเทศอินเดีย ที่มีการกล่าวไว้มากมายในศาสนาฮินดู เมื่อกว่า 3,500 ปีมาแล้ว วิถีชีวิตของชาวอินเดียในยุคนั้น ต้องพึ่งพาธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา แม่น้ำ ลำธารเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าในบรรดาสัตว์ที่อันตรายและน่าเกรงขาม มากที่สุดในขณะนั้น คือ “งู” ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด ในครั้งนั้นมนุษย์มีความเกรงกลัวต่องูเป็นอย่างมากนั้น ก็เพราะงูมีการเคลื่อนไหวไปอย่างเงียบสนิทแทบจะไม่มีเสียงเลย สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกที่ ขด ซ่อนตัวได้ในที่จำกัด สามารถว่ายน้ำได้ หรือแม้แต่การพุ่งลอยไปได้ไกล ๆ คนที่ถูกงูกัดมักได้รับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานมากและถึงแก่ความตายได้ในเวลาอันรวดเร็ว (อินเดีย : อิทธิพลต้นกำเนิดของความเชื่อเกี่ยวกับ “นาค” หรือ “พญานาค”)
ในยุคโบราณ “งู” เป็นสัตว์ที่อันตรายมากที่สุดนั้น แตกต่างจากสัตว์ร้ายอื่นๆ ที่มนุษย์สามารถหลบ เลี่ยงป้องกันหรือขับไล่ไปได้ นอกจากนี้ในยุคก่อนที่จะมีศาสนาเกิดขึ้นนั้น มนุษย์เชื่อ ในอำนาจเหนือธรรมชาติเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะควบคุมได้ เช่น อำนาจจากฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฝนตก แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีการร้องขอ และอ้อนวอน รวมทั้งขอความคุ้มครอง ด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การบวงสรวงบูชา การบูชายัญ เพื่อช่วยให้ตนเองและครอบครัวรอดพ้นจากภัยอันตราย ที่เกิดจากงู และอำนาจเหนือธรรมชาติไปได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างรูปเคารพของงูขึ้น และเมื่อกาลเวลาผ่านไปก็เริ่มมีการพัฒนาตกแต่งรูปเคารพงูเหล่านั้นให้มีลวดลายงดงามตามรูปแบบศิลปะและรสนิยม รวมทั้ง การเพิ่มความยิ่งใหญ่เพื่อน่าเกรงขามมากขึ้น (อินเดีย : อิทธิพลต้นกำเนิดของความเชื่อเกี่ยวกับ “นาค” หรือ “พญานาค”)
พญานาคของทางอเมริกาใต้ในอารยธรรมโบราณ เช่น พวกอัซเต็ก (Aztec) เรียกว่า “งูขนนก” เพราะสามารถเหาะได้ เหมือนมังกรยาว ๆ ชนิดหนึ่ง ถูกนับถือเป็นเทพเจ้าเรียกว่า Quetzalcoatl เป็นเทพแห่งลมและฝนคล้ายเป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์ การบูชามีมาตั้งแต่ดึกดําบรรพ์ เทพองค์นี้มีชื่อต่าง ๆ กันในแต่ละที่ แต่ละภาษา เช่น Kukulkànในภาษาของพวกมายา ชื่อ Gucumatz เรียกโดยพวกQuichè ของกัวเตมาลา ชื่อ Ehecatl ของพวก Huastec แห่งแถบ ๆ Gulf Coast (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
พระคัมภีร์ต่าง ๆ ตลอดจน วรรณกรรมสำคัญ ๆ ที่ประพันธ์ขึ้นเมื่อกว่า 3,000 ปีมาแล้ว ได้กล่าวถึง งูใหญ่ ซึ่งนิยมเรียกกันว่า “นาค” หรือ “พญานาค” ในฐานะของงูขนาดใหญ่ มีหงอน น่าเกรงขาม น่ากลัว มีพิษ มีพลังอำนาจพิเศษมากมาย และกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งคติความเชื่อแห่งเทพต่าง ๆ ก็ยังมีการกล่าวถึงเครื่องทรงที่ปรากฏเป็นรูปงู หรือนาค เช่น พระศิวะหรือพระอิศวรซึ่งเป็นเทพสูงสุดมีสังวาลย์ประดับองค์เป็นงูหรือเรียกว่า “สังวาลนาค” พระวิษณุหรือพระนารายณ์มีงูใหญ่หรือที่นิยมเรียกกันว่า “อนันตนาคราช” เป็นพระแท่นบรรทมอยู่ในเกษียรสมุทร
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากล่าวถึงพญานาคไว้หลายตอน ผู้ทรงศีลหลายท่านยืนยันว่านาคมีจริงและไม่ได้มีแต่เมืองไทยเท่านั้น ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไม่ว่าอินเดีย ทิเบต ศรีลังก าเขมรโบราณเขาทํารูปมนุษยนาค หรือครึ่งคนครึ่งงูไว้ เพื่อให้รู้ว่างูวิเศษชนิดนี้สามารถแปลงเป็นคนได้เป็นประเภทสัตว์และคนต่างมิติ และเมืองไทยไม่ใช่ที่เดียวที่มีมิติขนานกันไปอย่างป่าหิมพานต์ ในทวีปอื่นๆ ก็มีสัตว์ในเทพนิยายเหมือนกับไทยแต่อาจเรียกต่างกันไปตามภาษาพื้นเมืองของแต่ละภูมิภาค การเคารพนับถือบูชากันมาเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ปี แล้ว เช่นมังกรของจีนซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับพญานาคของไทย หัวของมังกรแทนที่จะมีหงอนแบบของไทยก็กลายเป็นมีเขาเหาะเหินเดินอากาศได้ ส่วนของอังกฤษหรือประเทศในทวีปยุโรปก็มีมังกร เช่นกัน พ่นไฟได้บินได้เหมือนของจีน (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
นาคหรือพญานาคและวิถีชีวิตของคนไทยมีมารตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ การรับอารยธรรมและจากอินเดียและขอมที่มีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าในศานาฮินดูหรือพราหมณ์ แม้ว่าในเวลาต่อมาชาวไทยจะนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก แต่ยังคงมีเชื่อในเรื่องเทพเจ้า ชนชาติในแถบอุษาคเนย์เชื่อเรื่องพญานาค ในฐานะผู้ครอบครองแดนบาดาล ซึ่งนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่ประชาชนที่ดำรงชีวิตด้วยการทำเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาลำน้ำมาตั้งแต่โบราณ
นาคคืองู งูเป็นอย่างไรนาคก็เป็นอย่างนั้น งูมีแถวไหน แถวนั้นก็มีนาคชุกชุม ลักษณะเป็นงูใหญ่สีดําสนิท สีเลื่อมประภัสสรหรืออาจมีสีอื่น ๆ เป็นสีเดียวทั้งตัวไม่มีลายแบบงูเหลือม หงอนก็เป็นหงอนสัตว์เลื้อยคลานไม่ใช่หงอนแบบตามบันไดวัด พฤติกรรมก็คือสัตว์นั่นเอง ในตํานานพญานาคส่วนใหญ่สามารถโดนครุฑจับกิน ยกเว้นพญานาคชั้นสูงที่ทรงอิทธิฤทธิ์เท่านั้นเมื่อพญานาคเหล่านี้แปลงกายเป็นคนได้ก็อยู่กันเป็นเมืองแบบในมนุษย์โลกมีการปกครองชั้นต่าง ๆ มีกษัตริย์นาค มีเจ้าหญิง เจ้าชาย และขุนนางต่าง ๆ (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
นาคมีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีถิ่นฐานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างคนไทย ในคําทํานายมหาสงกรานต์ของโหรหลวงแต่ละปีจะมีฝนตกมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับจํานวนนาคผู้ให้นํ้า ว่ามีกี่ตัวแม้มีอิทธิฤทธิ์แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความร้อนแห่งฤทธิ์เดชที่เกิดจากการบําเพ็ญเพียรบันดาลให้เกิดให้เห็นสรรพภาวะเหนือโลกได้อเนกประการ (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
ในตํานานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ซึ่งตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พลัง อํานาจ โดยชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่าง ๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทําการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ ๗ ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ํา 7 ตัว น้ําจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้ (พระปลัดพจน์ทพล ฐานสมฺปุณฺโณ (ยุบลเลิศ), 2563, หน้า 7-8)
พญานาคของอินเดีย อินโดนีเซีย (บาหลี) กัมพูชา และไทยเป็นงูใหญ่ที่แปลงกายเป็นคนได้ชาวฮินดูถือว่านาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่าง ๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ํา เช่น อนันตนาคราชที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ที่เชื่อว่านาคเป็นเทพแห่งน้ำและถือว่านาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติกับที่สถิตของเทพทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัดจึงทําเป็นพญานาคราชที่ทอดยาวรับมนุษย์สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ (จินต์ชญา, ม.ป.ป.) ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ กล่าวถึงพญาครุฑและพญานาคมีบิดาร่วมกันชื่อ พระกัศยปะ แม่ของพญาครุฑชื่อนางวินะตา ส่วนแม่ของพญานาคชื่อนางกัทรุ
นางกัทรุขอพรจากพระกัศยะปะ ขอให้มีลูกจำนวนมาก นางจึงให้กำเนิดพญานาคนับพันตัว
นางวินะตาได้ขอพรจากพระกัศยะปะเช่นเดียวกัน แต่ขอมีลูกเพียง 2 คน และขอให้มีอำนาจวาสนา ต่อมานางวินะตาได้คลอดลูกเป็นไข่ 2 ฟอง นางเฝ้ารอดูไข่ฟักออกมาเป็นเวลา 500 ปี แต่ไข่ก็ยังไม่ฟัก นางอดทนรอไม่ไหวจึงทุบไข่ใบหนึ่งออกมาดู ลูกของนางในไข่ฟองแรกนี้คือ พระอรุณ ออกจากไข่ที่ยังเจริญไม่สมบูรณ์เต็มที่ จึงเหลือเพียงร่างกายท่อนบน เมื่อทราบว่าแม่ทุบไข่ก่อนที่ตัวเองจะเจริญเต็มที่ทำให้เกิดมาพิการ ก็โกรธแม่มากและสาปผู้เป็นแม่ว่าให้เป็นทาสนางกทรุเป็นเวลา 500 ปี และจะพ้นคำสาปได้ต่อเมื่อลูกคนที่ 2 ช่วยเหลือ เมื่อพระอรุณสาปแม่เสร็จก็เหาะขึ้นไปเป็นสารีของพระอาทิตย์ ต่อมาอีก 500 ปี ไข่ใบที่ 2 ก็แตกออก เกิดเป็นนก คือ พญาครุฑ ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วยจนหลังจรดฟ้า ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งาจักรวาล เทวดาคิดว่าเป็นพระคันี ต่างก็เข้ามาขอความคุ้มครอง
ความขัดแย้งระหว่างนางกัทรุและนางวิยะตามีหลายสำนวน เช่น พระกัศยะปะประทานพรตามคำขอของนางวิยะตาให้ลูกของนางมีอำนาจเหนือกว่านาคผู้เป็นลูกของนางกัทรุ หรือสำนวนที่ระบุว่านางวินะตาแพ้พนันนางกัทรุในการทายสีของม้าอุจไฉศรพะที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทรด้วยกลอุบายของนารงกัทรุที่ให้ลูกของตนแปลงตัวเป็นขนสีดำไปแซมอยู่ตามตัวม้า นางวินะตาไม่รู้ว่าเป็นอุบายก็ยอมรับว่าตัวเองแพ้ ทำให้ต้องตกเป็นทาสของนางกัทรุและถูกขังอยู่ในแดนบาดาลภิภพของหมู่นาค นับแต่นั้นมาพวกของนาคและครุฑจึงไม่ถูกกัน ด้วยความแค้นเคืองดังกล่าว พวกครุฑจึงมักจับนาคกินเป็นอาหาร
พญาครุฑสงสัยว่าทำไมแม่ของตนต้องเป็นทาสของนางกัทรุและนาค จึงถามนาคว่าทำอย่างไรนางวินะตาจึงจะพ้นจากความเป็นทาส นาคบอกว่าพญาครุฑต้องนำน้ำอมฤตจากพระจันทร์มาให้นาคดื่มเพื่อไถ่ตัว พญานาคจึงบินไปถึงพระจันทร์และนำน้ำอมฤตกลับมา แต่พระอินทร์และทวยเทพตามมาเกิดสู้รบกัน แต่พญาครุฑมีฤทธิ์มากสามารถทำลายวัชระหรือสายฟ้าคู่พระหัตถ์ของพระอินทร์ได้ พระนารายณ์จึงต้องมาช่วย แต่ก็ไม่สามารถปราบครุฑได้ ทั้งสองจึงตกลงทำสัญญาว่าจะให้ครุฑอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑสัญญาว่าจะเป็นพาหนะแห่งพระนารายณ์ ด้วยเหตุนี้พระนารายณ์จึงทรงครุฑ ส่วนครุฑก็อยู่ในธงครุฑพ่าห์ที่ปักอยู่บนราชรถศึกขององค์พระนารายณ์อันเป็นที่สูงกว่า
เอกสารอ้างอิง
จินต์ชญา. (ม.ป.ป.). ชาววังช่างเล่าเรื่อง (พญานาค). เว็บไซต์amarinbooks, https://amarinbooks.com/product/
อำพล สัมมาวุฒธิ. (2565). ความสำคัญของนาคในศิลปกรรมไทย. ใน เอกสารประกอบการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “นาค” ในวัฒนธรรมไทย ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565. กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์. กลุ่มจารีตประเพณี
อินเดีย : อิทธิพลต้นกำเนิดของความเชื่อเกี่ยวกับ “นาค” หรือ “พญานาค” เว็บไซต์ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรม (องค์กรมหาชน) https://www.sacit.or.th/uploads/items/attachments/f804d21145597e42851fa736e221da3f/_0380291c82bd72025273466e202f3780.pdf


