พระธาตุยาคู

พระธาตุยาคู เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่พบในเขตเมืองฟ้าแดดสงยาง ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่มีการขุดค้นพบหลักฐานต่างๆ มากมาย พระธาตุยาคูเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองฟ้าแดดสงยาง ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่า เป็นพระธาตุที่บรรจุอัฐิของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ชาวเมืองเคารพนับถือ จึงเรียกกันว่า พระธาตุยาคู (ญาคู ภาษาอีสาน หมายถึง พระสงฆ์ผู้ใหญ่ในวัด)

พระธาตุยาคู หรือ พระธาตุใหญ่ ตั้งอยู่ที่บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์

หน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น กองโบราณคดี กรมศิลปากร ได้ดำเนินการสำรวจและขุดแต่งโบราณวัตถุสถานเมืองฟ้าแดดสงยาง ซึ่งได้พบพระธาตุยาคู หรือโบราณสถานหมายเลข 10 เมื่อปี พ.ศ.2510 – 2511 ต่อมาได้ดำเนินการบูรณะเสริมความมั่นคงพระธาตุยาคูในส่วนที่เป็นฐาน 8 เหลี่ยมและตัวองค์พระธาตุ เมื่อปีพ.ศ.2526 และได้ดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบอนุรักษ์โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยาง บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อปีงบประมาณ 2534 

 

 สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 8 อุบลราชธานี ได้ดำเนินการขุดแต่งบูรณะเสริมความมั่นคงโบราณสถานพระธาตุยาคูและเจดีย์บริวาร เมื่อ พ.ศ.2539

สถานที่แห่งเดียวในเมืองฟ้าแดดสงยางที่ไม่ถูกทำลายโดยเมืองเชียงโสม ซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงคราม จึงนับเป็นโบราณสถานที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ มีหลักฐานว่าแต่ละส่วนของพระธาตุยาคู สร้างขึ้นใน 3 สมัย โดยส่วนฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม มีบันไดทางขึ้น 4 ทิศ สร้างในสมัยทวารวดี ถัดขึ้นมาเป็นส่วนฐานทรงแปดเหลี่ยม สร้างในสมัยอยุธยา ซึ่งสร้างซ้อนทับบนฐานเดิม ส่วนองค์ระฆังและส่วนยอดสร้างต่อเติมในสมัยรัตนโกสินทร์

ลักษณะของพระธาตุยาคู

        พระธาตุยาคู เป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในบริเวณเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ที่มีสภาพความสมบูรณ์กว่า เจดีย์ หรือพระธาตุ องค์อื่น ๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมือง จากการขุดดิน ขุดแต่งของกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2510-2511 พบว่าส่วนฐานเดิมลึกจมดินลงไปจากฐานที่พบในปัจจุบันอีกชั้นหนึ่งลักษณะฐานก่อด้วยอิฐ มีผังรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ความสูงประมาณ 1 เมตรเศษ และพบว่ามีการก่อสร้างฐานเพิ่มเติมขึ้นใหม่ในสมัยอยุธยา ในลักษณะเป็นฐานเขียง ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกัน 3 ชั้น ชั้นที่ 4 มีความสูงมากกว่าทุกชั้นและมีส่วนบนสอบเข้าเล็กน้อยส่วนเรือนธาตุ มีลักษณะ 8 เหลี่ยมด้านบนสอบเข้าหากันด้านบนทำเป็นกลีบบัวหงาย ส่วนยอดสอบเข้าหากันเป็นยอดแหลม ซึ่งบูรณะติดต่อเติมขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ ขนาดของเจดีย์ (พระธาตุ) กว้างประมาณ 16 เมตร ส่วนฐานก่ออิฐไม่ก่อปูน สูงประมาณ 1-1.5 เมตร ส่วนที่เป็นเรือนธาตุ และยอดสูง 1.5 เมตร และมีเจดีย์ (เจดีย์บริวาร) เรียงรายด้านทิศใต้ 3 องค์

 

“พระธาตุยาคู” เป็นคำเรียกของประชาชนในท้องถิ่น ใช้รียกเจดีย์องค์นี้โดยเชื่อว่า เป็นธาตุที่บรรจุอัฐิของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นที่เคารพนับที่ของประชาชนในท้องถิ่นที่มีสมณศักดิ์ ตามคำเรียกสมณศักดิ์พระสงฆ์อิสานที่มีมาแต่โบราณว่า “ญาครู”
ปัจจุบันได้มีนักวิชาการทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมพบว่าเจดีย์หรือพระธาตุองค์นี้ไม่น่าจะสร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของภิกษุสามัญชน หากแต่สร้างขึ้นเนื่องด้วยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องจากมีหลักฐานด้วยโบราณคดีประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือหลายประการ

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม

  1. ลักษณะโบราณสถานหมายเลข 10 เมื่อขุดแต่งแล้วฐานพระเจดีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยม ยาวด้าน 16 เมตร สูง 1.15 เมตร มีมุขยื่นออกไปจากฐาน 3.75 เมตร หน้ามุขกว้าง 6.50 เมตร ทั้ง 4 ด้านและที่หน้ามุขยังมีมุขยื่นออกไปอีก 2.50 เมตร กว้าง 3 เมตรพระเจดีย์หมายเลข 10 นี้มีฐานสี่เหลี่ยมมีมุขซ้อนกัน 2 ชั้นทั้งสี่ด้าน และที่ข้างผนังฐานระหว่างมุขทิศตะวันออกกับมุขทิศเหนือยังมีลวดลายปูนปั้นสมัยทวารวดีติดอยู่ บนฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์ก่ออิฐเป็นรูปแปดเหลี่ยม ยาวด้านละ 5.50 เมตร ซ้อนขึ้นไป 3 ชั้น สูง 1.50 เมตร และสูงจากฐานแปดเหลี่ยมขึ้นไปเป็นรูปองค์พระเจดีย์ แต่อิฐที่ก่อสูงขึ้นไปเป็นสมัยอยุธยา คงจะถูกซ่อมตอนสมัยอยุธยามาครั้งหนึ่งแล้ว จากอิฐสมัยอยุธยาสูงขึ้นไปประมาณ 5 เมตร ถึงยอดสุดชาวบ้านเสมาได้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2500 ความสูงของพระเจดีย์จากฐานถึงยอด 15 เมตร พื้นฐานเดิมอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดิน 1 เมตร

                 2. โบราณสถานหมายเลข 102 เจดีย์บริวาร  ตั้งอยู่ห่างจากพระธาตุยาคูมาทางทิศใต้ประมาณ 7 เมตร มีลักษณะเป็นฐานย่อไม้หน้ายี่สิบ กว้างด้านละ 5.5 เมตร

                 3. โบราณสถานหมายเลข 103 เจดีย์บริวาร  ตั้งอยู่ห่างจากโบราณสถานหมายเลข 102 มาทางทิศใต้ประมาณ 5 เมตร มีลักษณะเป็นฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 6.5 เมตร มีมุขยื่นทั้ง 4 ด้าน

                 4. โบราณสถานหมายเลข 104 (เดิมคือหมายเลข 3) เจดีย์บริวาร  อยู่ห่างจากพระธาตุยาคูไปทางทิศใต้ประมาณ 80 เมตร มีลักษณะเป็นฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 11.50 เมตร มีแท่นพระที่ฐาน 3 ด้าน คือ ด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และ ทิศใต้ ส่วนทางด้านทิศเหนือทำเป็นประตูเข้า กว้าง 0.60 เมตร เจดีย์องค์นี้มีการซ่อมทับของเดิมไว้เนื่องจากพบลายปูนปั้นที่ติดกับฐานชั้นบนมีอิฐก่อทับไว้ ความสูงของฐานเจดีย์เมื่อขุดแต่งแล้วคือ 3 เมตร โบราณวัตถุที่ขุดพบมีทั้งปูนปั้นและดินเผา เช่น เศียรพระพุทธรูป เศียรเทวดา เศียรพระโพธิสัตว์ รูปหัวสัตว์และลวดลายต่าง ๆ ซึ่งเป็นศิลปะสมัยทวารวดี

5. โบราณสถานหมายเลข 105 เจดีย์บริวาร  จากการไถปรับพื้นที่ระหว่างโบราณสถานหมายเลข 103 กับ 104 ในระหว่างปี พ.ศ. 2539 ตามโครงการขุดแต่งบูรณะเสริมความมั่นคงพระธาตุยาคูและเจดีย์บริวาร ได้พบโบราณสถานหมายเลข 105 ลักษณะเป็นฐานย่อไม้ยี่สิบ กว้าง 4 เมตร สูงประมาณ 0.30 เมตร ก่อด้วยอิฐสมัยทวารวดี

6. โบราณสถานหมายเลข 106 เจดีย์บริวาร  จากการไถปรับพื้นที่ในปี พ.ศ. 2539 ตามโครงการขุดแต่งบูรณะเสริมความมั่นคงพระธาตุยาคูและเจดีย์บริวาร พบโบราณสถานหมายเลข 106 อยู่ห่างจากโบราณสถานหมายเลข 104 มาทางทิศตะวันตกประมาณ 5.6 เมตร มีลักษณะเป็นฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่ออิฐสมัยทวารวดี กว้างด้านละ 4.75 เมตร สูงประมาณ 0.55 เมตร ปัจจุบันใช้ทรายกลบไว้

นอกจากนี้ในบริเวณดังกล่าวยังได้ค้นพบใบเสมา จำนวน 11 หลัก ทำจากหินทราย ปักล้อมรอบพระธาตุยาคูในตำแหน่งประจำทิศทั้ง 8 ซึ่งใบเสมาทั้ง 11 หลักนี้แต่เดิมพบจากการไถปรับพื้นที่รอบพระธาตุยาคู ซึ่งพบในลักษณะวางนอน หันปลายส่วนยอดของใบเสมาเข้าหาองค์พระธาตุ มีใบเสมาที่สลักลวดลายและสามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้ มี 3 ใบ ได้แก่ ใบเสมาสลักภาพมโหสถชาดก ใบเสมาสลักภาพภูริทัตชาดก และใบเสมาสลักภาพเตมียชาดก

โศกนาฏกรรมความรัก เมืองฟ้าแดดสูงยาง

เมืองฟ้าแดดสงยาง ในเขตตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ถือเป็นเมืองโบราณที่มีความสำคัญในภาคอีสาน นอกจากจะมีร่องรอยศิลปะวัตถุ โบราณวัตถุ โบราณสถาน ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีแล้ว… 

ในตำนานเมืองฟ้าแดดสงยางได้กล่าวถึง “เมืองฟ้าแดด” ว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ทางฝ่ายใต้ และ “เมืองเชียงโสม” เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ทางฝ่ายเหนือ เมืองทั้งสองมีการติดต่อค้าขาย ไปมาหาสู่กันโดยทางเรือเสมอ ๆ

เมืองเชียงโสมมี พญาจันทะราช เป็นกษัตริย์ปกครอง มีพญาธรรมผู้เป็นอนุชาเป็นอุปราช มีเมืองบริวารอยู่หลายมือง ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกัน…

เมื่อถึงเทศกาลประจำปี (ต้นฉบับใช้ ‘ฤดูปี’ – ผู้เขียน) เจ้าเมืองเหล่านี้จะมีการเล่นกีฬา สกา ตีคลี และนอกจากนั้นยังนิยมไปประพาสป่า ล่าสัตว์ และต่อไก่ บริเวณริมแม่น้ำใหญ่อยู่เสมอ

พญาจันทะราชเจ้าเมืองเชียงโสมกับข้าราชบริพารเสด็จประพาสป่าเพื่อล่าเนื้อ บังเอิญไปพบสุวรรณมิคะราชกวางคำ พญาจันทะราชได้ติดตามกวางคำไปจนข้าราชบริพารตามเสด็จไม่ทัน จนพระองค์หลงทางรอนแรมไปในป่าและเดินทางจนมาถึงเมืองฟ้าแดด จึงได้หยุดพักที่ศาลานอกเมือง พระองค์ทรงทราบข่าวว่า พญาฟ้าแดด มีราชธิดาที่ทรงพระสิริโฉมงดงามมาก ทรงพระนามว่า “ฟ้าหยาด” ความงามของพระธิดาเป็นที่เลื่องลือนัก

พระบิดาทรงสร้างปราสาทกลางน้ำให้เป็นที่ประทับ มีข้าราชบริพารและทหารคอยถวายความปลอดภัยอย่างแน่นหนา

ฝ่ายพญาจันทะราชมีพระประสงค์จะได้ยลโฉม และต้องการจะได้พระธิดาฟ้าหยาดเป็นชายา จึงลอบเข้าไปหาพระธิดาฟ้าหยาดและได้อยู่ด้วยกันอย่างลับ ๆ ที่ปราสาทกลางน้ำ จนพระธิดาฟ้าหยาดทรงครรภ์อ่อน ๆ โดยที่พญาฟ้าแดดไม่ทรงทราบเลย

จากนั้น พญาจันทะราชได้เดินทางกลับเมืองเชียงโสม เมื่อถึงเมืองเชียงโสม มีรับสั่งให้อำมาตย์ผู้ใหญ่เดินทางมาสู่ขอพระธิดาฟ้าหยาดตามราชประเพณี แต่พญาฟ้าแดดไม่ทรงอนุญาต และกริ้วมาก ถือว่าพญาจันทะราชหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระองค์

ฝ่ายพญาจันทะราชทรงทราบข่าวว่าพญาฟ้าแดดไม่ทรงรับบรรณาการสู่ขอจากพระองค์ก็กริ้วมาก จึงยกทัพมาทำสงครามกับพญาฟ้าแดด กองทัพทั้งสองเมืองเกิดรบพุ่งกันขึ้น

การสงครามครั้งนี้พญาจันทะราชเสียทีแก่พญาฟ้าแดด พญาจันทะราชถูกพญาฟ้าแดดฟันสิ้นพระชนม์ในสนามรบ

ฝ่ายพระธิดาฟ้าหยาดทราบข่าวว่าพญาจันทะราชสิ้นพระชนม์ในสนามรบก็ทรงเสียพระทัยมาก จนสิ้นพระชนม์ตามที่ปราสาทกลางน้ำ พญาฟ้าแดดทรงทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระธิดาฟ้าหยาด พระองค์ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก พระองค์โปรดให้นำพระศพของทั้งสองพระองค์ใส่ในโกศทองคำอันเดียวกัน … อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_125269

จากนั้นจึงจัดการพระศพทั้งสองพระองค์อย่างสมพระเกียรติ แล้วพญาฟ้าแดดจึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิไว้ด้วยกัน แล้วให้ช่างหล่อพระพุทธรูปทองคำจำนวน 85,000 องค์ แล้วนำมาบรรจุไว้ที่พระเจดีย์ของพญาจันทะราชและพระธิดาฟ้าหยาด จากนั้นทั้งสองเมืองจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยที่เมืองเชียงโสมเป็นเมืองขึ้นของเมืองฟ้าแดด และจัดส่งบรรณาการเป็นประจำทุกปี

กาลต่อมา พญาธรรม ผู้เป็นอนุชาของพญาจันทะราชปกครองเมืองเชียงโสมได้หกปี พระองค์ยังมีความเคียดแค้นพญาฟ้าแดดอยู่ไม่หาย ที่พญาฟ้าแดดทำให้พระเชษฐาของพระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ พระองค์จึงเตรียมทำศึกกับพญาฟ้าแดด โดยได้รับความช่วยเหลือจากหัวเมืองต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น เมืองเม็ง เมืองม่าน เมืองคุลา เมืองญวน เมืองลาว เมืองลื้อ เมืองเขมร เมืองโกยกาย … อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_125269

นอกจากนั้นยังมีเมืองบริวารที่เป็นญาติพี่น้องกันมาช่วย คือ เมืองเชียงส่ง เมืองเชียงสา เมืองเชียงเครือ เมืองเชียงสร้อย เมืองสาบุตร์ และเมืองเชียงยืน ได้ยกทัพมาช่วยเหลือ ซึ่งรวมพลแล้วมีมากมายเหลือคณานับ จนเมืองฟ้าแดดไม่อาจทำการต่อสู้ด้วย พญาฟ้าแดดจึงยอมอ่อนน้อมต่อพญาธรรม และนำบรรณาการเทียนเงิน เทียนทอง ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ไปถวายต่อพญาธรรมแห่งเมืองเชียงโสม

จากนั้นเมืองฟ้าแดดและเมืองเชียงโสม จึงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอีกครั้งหนึ่ง ไม่ปรากฏว่ามีการทำสงครามกันอีกเลย จนกระทั่งเมืองร้างกันไปเองในที่สุด

ปัจจุบันในบริเวณ เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีซากเจดีย์อยู่องค์หนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า “พระธาตุคำหยาด” หรือเจดีย์นางฟ้าหยาด ด้วยเชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่พญาฟ้าแดดสร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระอัฐิของพระธิดาฟ้าหยาดและพญาจันทะราช

… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_125269

กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. (2567, มกราคม 9).  โศกนาฏกรรมความรัก ในตำนานพื้นเมืองแห่ง “เมืองฟ้าแดดสงยาง”. สืบค้นจากแว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม : https://www.silpa-mag.com/culture/article_125269

พระธาตุยาคู.  (2568).  สืบค้นจากเว็บไซต์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์  https://fadet-heritage.ksu.ac.th/?p=265

พระธาตุยาคู  (จังหวัด กาฬสินธุ์). (2568, มีนาคม 24). สืบค้นจากเว็บไซต์ องค์การบริหารส่วนตำบลเจ้าท่า อำเภอกมลาไสย จจังหวัดกาฬสินธุ์ https://www.chaotha.go.th/trv-otp-detail?page=4&id=1

พระธาตุยาคู (ธาตุนายใหญ่). (2568, มีนาคม 24). สืบค้นจากเว็บไซต์ https://qrcode.finearts.go.th/index.php/th/historic-site/hs-kalasin/item/442-hs-kalasin-006

© 2021 All Rights Reserved.