วัดบูรพาราม สุรินทร์

วัดบูรพาราม ตั้งอยู่เลขที่ 330 ถนนจิตรบำรุง  ตำบลในเมือง  อำเภอมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต มีเนื้อที่ 10 ไร่ 65 ตารางวา

วัดบูรพาราม  จังหวัดสุรินทร์   เป็นวัดเก่าแก่  สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรีหรือในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์  มีอายุประมาณ 200  ปี  วัดนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกวัดบูรพารามขึ้นเป็นพระอารามหลวงตั้งแต่วันที่ 1  กุมภาพันธ์  2520

เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรีหรือ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีอายุประมาณ 200 ปี เท่ากับอายุเมืองสุรินทร์ สร้างโดย พระยาสุรินทร์ศรีณรงค์จางวาง (ปุม) เจ้าเมืองสุรินทร์คนแรกสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2300 ถึง พ.ศ. 2330 โดยประชาชนร่วมกันสร้างขึ้น เรียกว่า “วัดบูรพ์” เดิมเป็นวัดมหานิกายเป็นวัดเก่าแก่มีพัฒนาการที่ยาวนานตามยุคตามสมัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโสอ้วน) ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑล และอนุมัติให้วัดบูรณ์เป็นวัดในสังกัดธรรมยุตและได้นิมนต์พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ซึ่งปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานอยู่ให้มาประจำอยู่ที่วัดบูรพาราม ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และร่วมเป็นคณะพระสังฆาธิการวัดบูรพารามได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2520 เป็นสถานปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสุรินทร์ แห่งที่ 1 ตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 20/2549 วันที่ 29 กันยายน 2549 พระราชวรคุณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด (ธ) เป็นเจ้าสำนัก

พระอุโบสถหลังใหญ่ กว้าง 15 เมตร ยาว 32 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2479 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2493 ปัจจุบันปรับปรุงโครงสร้างใหม่และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพุทธประวัติที่งดงาม

วิหารจตุรมุข ประดิษฐานพระคู่เมือง (หลวงพ่อพระชีว์) แบบทรงไทย สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2506 ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2538 โดยปรับปรุงให้มีความวิจิตรมากขึ้น มีบันไดทางขึ้นวิหาร 2 ทาง มีรูปปั้นหุ่นพญานาคลักษณะศิลปะไทยเลื้อยลงตามระเบียงบันไดทั้งสองข้าง

หลวงพ่อพระชีว์ (หลวงพ่อประจี) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 4 ศอก  ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด คาดว่าสร้างขึ้นมาพร้อมกับวัดบูรพาราม รับเป็นปูชนียวัตถุ ที่ชาวสุรินทร์เคารพบูชาถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของเมืองสุรินทร์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี หรือในสมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ มีอายุประมาณ 200 ปี เท่าๆ กับอายุเมืองสุรินทร์

การเข้าไปกราบหลวงพ่อพระชีว์  พระพุทธรูปคู่เมืองสุรินทร์  หลวงพ่อพระชีว์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  หน้าตักกว้าง  4  ศอก  ประดิษฐานอยู่ในมณฑปจัตุรมุขก่ออิฐถือปูน  อยู่ทางด้านตะวันตกของพระอุโบสถ   หลวงพ่อพระชีว์องค์นี้ไม่สามารถสืบประวัติได้ว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยไหนและผู้ใดสร้าง   ในการสืบประวัติเมื่อถามคนเก่าแก่อายุร้อยปี  ท่านจะบอกว่าเห็นองค์ท่านอยู่อย่างนี้มาแล้ว  ตามข้อสันนิษฐานคาดกันว่าน่าจะสร้างมาพร้อมกับเมืองสุรินทร์

 

สมัยก่อนแถวจังหวัดสุรินทร์  บุรีรัมย์  ศรีสะเกษ  หรือแถบอีสานใต้  ยังไม่มีพระพุทธรูปปั้นองค์ไหนที่งดงาม  หรือมีลักษณะที่มีอำนาจและมีขนาดใหญ่เท่ากับหลวงพ่อพระชีว์เลย  ด้วยท่านมีขนาดใหญ่และดูเคร่งขรึมมีอำนาจน่าเกรงขาม  ชาวบ้านจึงนับถือท่านในด้านความศักดิ์สิทธิ์  แม้แต่ทางราชการ  ในสมัยที่ข้าราชการมีการทำพิธีดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาก็ต้องมาทำพิธีต่อหน้าหลวงพ่อพระชีว์   ในประสบการณ์ตรงของท่านเจ้าอาวาส  พระราชวรคุณ  ได้เล่าไว้ในหนังสือว่า 
เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  แถวสุรินทร์  และบุรีรัมย์  ถือว่าเป็นพื้นที่หมิ่นเหม่ต่ออันตราย  ด้วยการเป็นเป้าหมายโจมตีทางอากาศสมัยนั้น  พ.ศ. 2488   พวกอาตมายังเป็นเด็ก  เรียน ป.1-ป.2 จะมีเครื่องบินวนเวียนไปทิ้งระเบิดแถวกัมพูชาและแถบสุรินทร์-บุรีรัมย์  ชาวบ้านตกอกตกใจ  ก็ได้แต่ไปกราบไปไหว้ขอบารมีหลวงพ่อพระชีว์เป็นที่พึ่ง  ขออย่าให้บ้านเมืองถูกระเบิดเลย หรือเครื่องบินมาแล้วก็อย่าให้มองเห็นบ้านเมือง

นอกจากนี้ชาวบ้านก็มักพากันมาบนบานศาลกล่าวเวลาเกิดยุคเข็ญต่างๆ เช่น  เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บ  อหิวาตกโรค  หรือโรคฝีดาษมีการระบาด  ซึ่งสมัยนั้นถ้ามีโรคระบาดมาแต่ละชุด  ผู้คนจะล้มตายจำนวนมาก  พวกเขาเหล่านั้นก็ได้หลวงพ่อพระชีว์เป็นที่พึ่งทางใจ  ให้เขารู้สึกปลอดภัย  หรือพ้นภัยพิบัติ  คนสุรินทร์จึงนับถือท่านตลอดมา

พระราชวรคุณได้วิเคราะห์ไว้ว่า  หลวงปู่ดูลย์  อตุโล  ท่านได้อาศัยบารมีหลวงพ่อพระชีว์  ในการพัฒนาวัดบูรพารามให้เจริญรุ่งเรือง  กล่าวคือ  เมื่อชาวบ้านพากันเคารพนับถือหลวงพ่อพระชีว์เป็นอันมาก  ก็สะดวกต่อหลวงปู่ที่จะบูรณะวัด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพระอุโบสถให้สำเร็จ  ซึงเป็นเรื่องลำบากยิ่งในสมัยนั้น

 

ในวันนี้แม้ว่าหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  จะมรณภาพไปนานแล้ว  แต่วัดบูรพารามยังคงสืบสานหลักปฏิบัติในฝ่ายวิปัสสนาธุระอย่างต่อเนื่อง   และรูปปั้นหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  ยังเป็นที่พึ่งทางจิตใจของผู้ศรัทธาที่เข้ามากราบไหว้ขอพรกันเป็นประจำทุกวัน

พิพิธภัณฑ์กัมมัฏฐาน-อัฐิธาตุ วัดบูรพาราม

พิพิธภัณฑ์กัมฐานอัฐิธาตุ  สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์  อดุโล) หลวงปู่ดูลย์ อตุโล    ท่านได้รับสมญาว่าเป็นบิดาแห่งภาวนาจิต    เกียรติคุณและชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม  หลวงปู่ดูลย์  เคยอยู่ที่วัดบูรพาราม  ตั้งแต่ พ.ศ. 2477 จนกระทั่งมรณภาพ พ.ศ.2526

พิพิธภัณฑ์นี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2527  โดยจะเรียกว่าพิพิธภัณฑ์ก็ได้  จุดประสงค์ของการก่อตั้งแต่เริ่มแรกคือ  การสร้างเพื่อประดิษฐานรูปหลวงปู่ดูลย์เพียงอย่างเดียว   โดยมีอัฐิและเครื่องอัฐบริขารและเครื่องใช้ต่างๆ ของท่านเพียงเท่านั้น  โดยไม่มีการจัดแสดงสิ่งของอื่น  คนที่บริจาคสร้างก็คือญาติโยมที่ศรัทธาในหลวงปู่ท่าน  ทุกวันก็จะมีคนเข้ามากราบไหว้กันเป็นประจำทุกวัน  สำหรับตัวท่านเจ้าอาวาส  ท่านได้มาอยู่ที่วัดนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491  ตั้งแต่เป็นเณรน้อยและได้รับใช้หลวงปู่ดูลย์เรื่อยมาจนกระทั่งหลวงปู่ท่านมรณภาพ

 สำหรับชีวประวัติของหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  ท่านเป็นชาวสุรินทร์โดยกำเนิด  ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. 2431  ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 5  หลวงปู่ท่านได้เคยเล่าถึงเรื่องราวถิ่นกำเนิดตั้งแต่ช่วงสมัยเมื่อ 100  กว่าปีมาแล้ว  ในเรื่องนี้พระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต) ได้เรียบเรียงบันทึกไว้

เอกสารอ้างอิง

หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์. (2566). วัดบูรพาราม  สืบค้นจาก  https://mocbackend.m-culture.go.th/province/ewt/surin/ewt_news.php?nid=3038&filename=index

เฉลิมเกียรติ กิจตระกูลรัตน์. (2552). พิพิธภัณฑ์กัมมัฏฐาน-อัฐิธาตุ วัดบูรพาราม. สืบค้นจาก https://db.sac.or.th/museum/museum-detail/947