วัดป่ากุง

ตั้งอยู่ที่ตำบลศรีสมเด็จ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด

พระเจดีย์เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุซึ่งอยู่จุดศูนย์กลางของเจดีย์ ผนังแกะสลักเรื่องราวพระพุทธประวัติและเวสสันดรชาดก รวมทั้งประวัติของหลวงปู่ศรีและรูปบูรพาจารย์ เนื่องจากวัดประชาคมวนาราม หรือวัดป่ากุงเป็นสถานที่จำพรรษาของพระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร) ซึ่งในทุก ๆ ปีวัดป่ากุงจะได้จัดพิธีระลึกถึงพระคุณของหลวงปู่ศรีในวันคล้ายวันเกิด มีกิจกรรมการสวดมนต์ จัดตั้งโรงทาน ตักบาตร ในระว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว จะมีพุทธศาสนิกชนหลั่งไหลมาร่วมงานในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวที่สนใจมาเยือน สามารถเข้าเยี่ยมชมสักการะได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ทุกวันรวมวันหยุดนักขัตฤกษ์

การเดินทางจากตัวเมืองร้อยเอ็ดไปตามถนนสายร้อยเอ็ด-วาปีปทุม 20 กิโลเมตร เส้นทางจากตัวเมืองร้อยเอ็ด ตรงมาทางที่จะไปวาปีปทุม ประมาณ 7 -8 กม. เลยสถานีใบยาไทรงาม 2 (ขวามือ) จะมีทางเข้าไป ประมาณ 2 กิโลเมตร

เมื่อ พ.ศ. 2531 หลวงปู่ได้ไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ มหาเจดีย์บุโรพุทโธ หรือ โบโรบูโดร์ และได้ประทับใจในความยิ่งใหญ่อลังการของมหาเจดีย์แห่งนี้ จึงได้เล่าให้คณะศิษย์ฟัง ต่อมาใน ปี พ.ศ 2535 การก่อสร้างจึงเริ่มขึ้น จนกระทั่งแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2547 มีพิธียกยอดเจดีย์ทองคำแท้หนัก 101 ขึ้นประดิษฐาน ด้วยแรงศรัทธาของคณะศิษยานุศิษย์ เสียสละกำลังกายกำลังทรัพย์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความสมัครสมานสามัคคี เทิดทูนความดีที่หลวงปู่ศรีได้ประพฤติปฏิบัติ ซึ่งจัดพิธีสมโภชไปแล้วเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2549 ด้วยงบประมาณ 40 ล้านบาท

องค์พระเจดีย์มีภาพแกะสลักที่วิจิตรเป็นภาพพุทธประวัติและพระเวสสันดรชาดก ซึ่งตรงกับงานประเพณีบุญผะเหวดร้อยเอ็ด ภายในองค์เจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่นำมาจากประเทศอินเดียให้พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวได้กราบไหว้บูชาขอพรเพื่อเป็นสิริมงคล

เจดีย์หินทราย วัดป่ากุง

เจดีย์รูปทรงแปดเหลี่ยม กว้าง 101 เมตร ยาว101 เมตร(อันนี้คงกว้างxยาวตามชื่จังหวัด) สูง109 เมตร แบ่งเป็น7 ชั้น ตบแต่งด้วยหินทรายธรรมชาติ จากปากช่อง นครราชสีมา ดูคล้ายเมืองสวรรค์ ทั้ง 7 ชั้นตระการตา
ชั้นที่ 1 เป็นภาพแกะสลักหินทรายเหลืองนูนต่ำ เล่าเรื่องราวซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายที่ พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทานบารมี
ชั้นที่ 2-3 เป็นภาพแกะสลักหินทรายเหลืองนูนต่ำ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติพระพุทธเจ้า
ชั้นที่ 4 ภาพแกะสลักหินทรายเหลืองนูนต่ำรูปชัยมงคลคาถา
ชั้นที่ 5 ผนังทรงกลมฐานรององค์เจดีย์ เป็นภาพสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน
ชั้นที่ 6 เป็นองค์เจดีย์ราย 8 องค์ และองค์เจดีย์ประธาน 1 องค์ และโดยเฉพาะ
ชั้นที่ 7 ยอดเจดีย์ทองคำ น้ำหนักถึง 101 บาท ทำกายกยอดเจดีย์เมื่อ พ.ศ.2547
มีพระรายล้อมเจดีย์ทั้งหมด 136 องค์ มาจากอินโดนีเซีย
ภายในเจดีย์สามารถเข้าชมได้แบ่งเป็น2ชั้น (ด้านใน) โดยชั้นแรก จะเป็นห้องโถงโล่ง ที่พังบอกเล่า ประวัติหลวงปู่ศรี มหาวีโร ชั้นที่สองเป็นที่ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่ประเทศศรีลังกาส่งมาให้หลวงปู่โดยตรง
ที่มาของการก่อสร้างเจดีย์หิน

พระเจดีย์เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุซึ่งอยู่จุดศูนย์กลางของเจดีย์ ผนังแกะสลักเรื่องราวพระพุทธประวัติและเวสสันดรชาดก รวมทั้งประวัติของหลวงปู่ศรีและรูปบูรพาจารย์ เนื่องจากวัดประชาคมวนาราม หรือวัดป่ากุงเป็นสถานที่จำพรรษาของพระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร) ซึ่งในทุก ๆ ปีวัดป่ากุงจะได้จัดพิธีระลึกถึงพระคุณของหลวงปู่ศรีในวันคล้ายวันเกิด มีกิจกรรมการสวดมนต์ จัดตั้งโรงทาน ตักบาตร ในระว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว จะมีพุทธศาสนิกชนหลั่งไหลมาร่วมงานในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวที่สนใจมาเยือน สามารถเข้าเยี่ยมชมสักการะได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ทุกวันรวมวันหยุดนักขัตฤกษ์

หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง พระป่าสายกรรมฐาน เดิมชื่อ ศรี เกิดในสกุล ปักกะสีนัง เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ตรงกับวันศุกร์ เดือนหก ปีมะเมีย ที่บ้านขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม โยมบิดาชื่อ อ่อนสี โยมมารดาชื่อ ทุม ช่วงปฐมวัย ท่านเข้าศึกษาที่โรงเรียนประชาบาล วัดบ้านขามป้อม จบชั้นประถมปีที่ 6 จากนั้นได้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนสารคามพิทยาคม จังหวัดมหาสารคาม จนจบชั้นมัธยมปีที่ 3
เมื่อ พ.ศ.2480 ต่อมาท่านได้เข้ารับราชการเป็นครูอยู่ระยะหนึ่ง จึงได้บรรพชาอุปสมบท เมื่อ พ.ศ. 2488 ณ พัทธสีมาวัดราษฎร์รังสรรค์ บ้านป่ายาง จังหวัดร้อยเอ็ด  โดยมี พระโพธิญาณมุนี (ดำ โพธิญาโณ) เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาเป็นภาษามคธว่า “มหาวีโร”
พรรษาแรก ท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่กับ พระอาจารย์คูณ อุตตโม วัดประชาบำรุง จังหวัดมหาสารคาม ปีต่อมา ท่านได้จาริกไปจำพรรษาที่วัดป่าแสนสำราญ จังหวัดอุบลราชธานี  และมีโอกาสศึกษาปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนา กับ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ซึ่งเป็นศิษย์สำคัญของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง

ประวัติย่อวัดประชาคมวนารามได้บันทึกไว้ว่า

…ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2496 ท่านพระอาจารย์ศรี มหาวีโร ผู้เป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และคณะประกอบด้วย พระอาจารย์ป่อง พระอาจารย์ทองใบ พระอาจารย์คูณ ได้เดินธุดงค์มาจากจังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ดไปอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม

เจตนาท่านพระอาจารย์ศรีอย่างหนึ่งในการธุดงค์ผ่านมาทางแผ่นดินเกิด ก็เพื่อเยี่ยมเยียนสนทนาธรรมกับพระหลวงพ่ออ่อนสี กิจฺจญาโณ ซึ่งเป็นบิดาผู้บังเกิดเกล้า ณ วัดป่าบ้านขามป้อม ท่านพระอาจารย์ศรีและคณะจึงได้ปักกลดพักอยู่ที่วัดป่าบ้านขามป้อม กับพระหลวงพ่ออ่อนสีผู้เป็นบิดา

ในขณะที่ท่านพักอยู่ที่นั่น มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธาท่านเป็นอย่างมาก พระบางกลุ่มเสื่อมจากลาภสักการะและความนับถือ สาเหตุเพราะกลัวท่านจะมาสร้างวัดและในยุคสมัยนั้นคนและพระแบบนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องพระกรรมฐาน จึงต่อต้านท่านอย่างหนัก

เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจึงดำริเดินธุดงค์กลับร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม เพื่อกราบคารวะพระธาตุพนมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเส้นทางธุดงค์เส้นนี้ท่านจะใช้เป็นเส้นทางเดินประจำในฤดูแล้ง

ในขณะที่ท่านเที่ยววิเวกภาวนาผ่านมาทางบ้านหนองแดงในเวลาตะวันบ่ายคล้อย จึงปักกลดพักในบริเวณป่า มีครูคนหนึ่งเป็นครูสอนนักเรียนอยู่ที่นั่น ชื่อคุณครูไคล มองไปเห็นว่ามีพระตั้งกลดอยู่ ก็คิดว่าเป็นพระกรรมฐาน จึงกราบนิมนต์ให้เข้าไปฉันน้ำปานะที่บ้านหนองแดง เมื่อสนทนากันจึงทราบว่าเป็นหลวงปู่ศรี อดีตครูศรีที่สละโลกีย์ออกบวช เมื่อชาวบ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงทราบข่าวก็หลั่งไหลกันมากราบคารวะจนกระทั่งมืดค่ำ

ตัวแทนชาวบ้านประกอบด้วยพ่อใหญ่ขุนจง บ้านหัวหนองน้อย พ่อใหญ่จูม พ่อใหญ่ใบ บ้านหนองแดง พ่อใหญ่คำบุ บ้านบาก เรียนถามท่านว่า “ท่านอาจารย์จะไปไหน”

“เราจะไปข้างหน้า” ท่านตอบสั้นๆ

“ถ้าอย่างนั้น นิมนต์ท่านอาจารย์และคณะพักที่วัดป่ากุงฮ้าง (ร้าง) อันเป็นวัดเก่าแก่ที่ร้างมานานนี้เสียก่อน เป็นที่สงบไม่มีใครกล้าเข้าไป จะมีก็แต่พวกโจรผู้ร้ายมีวิชาอาคมแก่กล้า เมื่อเขาไปขโมยวัวควายได้มาแล้ว ก็นำมาซุกซ่อนที่นี่ และที่นี่ยังมีซากโบสถ์เก่า ๆ ผุพัง เครือไม้ระโยงระยาง แม้แต่คนเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย กลางวันแสก ๆ ยังไม่มีใครกล้าเดินผ่านเลยครับ”

หัวหน้าชาวบ้านกราบเรียนด้วยกิริยาอันนอบน้อมว่า…

“วัดป่ากุงฮ้างนี้มีเนื้อที่ 4-5 ไร่ เป็นป่าดงพงทึบมีต้นไม้หนาแน่น โดยเฉพาะไม้กุง มีสัตว์ร้ายชุกชุม เช่น งู เป็นต้น เป็นที่เกรงขามของคนในถิ่นแถบนี้เป็นอย่างมาก ได้รับทราบจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเป็นวัดร้างมาก่อนประมาณ 200 ปี (สร้างประมาณปี 2313) และหมดสภาพความเป็นวัดแล้ว มีสภาพรกร้างว่างเปล่ามานาน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปเอาจับจองเป็นเจ้าของ เพราะว่ามีคนเคยเห็นผีเปรตที่เป็นพระอดีตญาคู สูงเท่าต้นตาล เวลาเดินมีรอยเท้ากลับเข้าด้านใน เที่ยวเร่ร่อนหลอกหลอนขอส่วนบุญจากผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาให้เข็ดหลาบกันไปทั่ว ถ้าท่านอาจารย์ไม่กลัวผีเปรตและพวกโจรผู้ร้าย ก็นิมนต์อยู่โปรดพวกผมเถิดครับ ”

เมื่อมีเหล่าชนผู้เลื่อมใส ต้องการจะให้พักอยู่ที่เสนาสนะป่ากุงฮ้าง (ร้าง) ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 80 หมู่ 11 บ้านป่ากุง ตำบลศรีสมเด็จ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ห่างจากตัวจังหวัด 19 กิโลเมตร และห่างจากเขตจังหวัดมหาสารคาม ประมาณ 40 กิโลเมตร ท่านพระอาจารย์ศรี มหาวีโร จึงรับนิมนต์ของญาติโยมชาวบ้านหนองแดงจะพักให้ชั่วคราวก่อน

ด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง ต่างคนต่างก็นำเสื่อหมอนมาถวายท่านได้พักจำวัด

เช้าวันต่อมาก็พากันมาทำกระต๊อบมุงหญ้าหลังเล็ก ๆ ให้ท่านและคณะอยู่

แม้ชาวบ้านจะยากจน ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการก่อสร้าง ด้วยความที่อยากให้ท่านเห็นใจแล้วอยู่โปรดต่อไป ใครมีเรี่ยวแรงก็ใช้เรี่ยวแรง ใครมีมีดก็ใช้มีด ใครมีขวานก็ใช้ขวาน ทั้งถากทั้งฟัน เพียงวันเดียวทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย

 

ในวันที่ 3 ที่พัก ณ วัดป่ากุงฮ้างนี้ ท่านได้แสดงธรรมโปรดอุบาสกอุบาสิกาในถิ่นนั้น จนเกิดจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาอย่างแรงกล้า

ในวันที่ 4 ท่านได้ลาญาติโยมเพื่อท่องเที่ยวกรรมฐานต่อไปตามสมณวิสัย ชาวบ้านโดยส่วนมากแสดงความอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิ่ง บางคนร้องไห้ บางคนเว้าวอนให้อยู่ต่อ เขาบอกว่านานมาแล้วยังไม่เคยเห็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและแสดงธรรมเข้าถึงใจอย่างนี้

เมื่อชาวบ้านรบเร้าขัดขวาง บางคนมีน้ำตานองหน้า แสดงอาการอาลัยอาวรณ์อยู่อย่างเห็นได้ชัด ท่านจึงสงสารและพิจารณาว่า “ป่านี้เป็นสถานที่วิเวก สัปปายะ ญาติโยมมีศรัทธาพร้อมพรั่ง ควรที่เราจะสงเคราะห์เขาเพื่อมรรค ผล นิพพาน ต่อไป อันจะเป็นประโยชน์ใหญ่ในพระศาสนา”

เมื่อท่านพิจารณาอย่างนั้นแล้ว จึงอยู่จำพรรษาและปฏิบัติภาวนาต่อไป

ในพรรษานั้นปรากฏว่า ได้รับความสนใจและความอุปถัมภ์จากประชาชนชาวพุทธทั้งในจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดอื่น ๆ ทั้งใกล้และไกลเป็นจำนวนมาก ต่างก็พากันหลั่งไหลมาเพื่อทำบุญสุนทาน และรับการอบรมเทศนาสั่งสอนจากท่านเป็นเนืองนิจมิได้ขาด จนเกิดศรัทธาเลื่อมใสในปฏิปทาของท่านเป็นอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่น พ่อใหญ่ชาลี มงคลสีลา คนบ้านป่ากุง ได้ถวายที่ดินสร้างวัดเพิ่มเติมจำนวน 100 ไร่ และบางคนถึงกับได้สละทางโลกออกบวชก็มีไม่น้อย

 

และเหตุที่น่าอัศจรรย์ยิ่งอย่างหนึ่งนั้นก็คือ ชนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบ้านใกล้หรือว่าบ้านไกล เมื่อได้รับฟังพระธรรมเทศนาของท่านแล้ว บางคนถึงกับสละครอบครัวเหย้าเรือนออกบวช บางครอบครัวได้ออกบวชทั้งพ่อแม่ลูก เพื่อมาศึกษาและปฏิบัติศีลธรรมให้ได้เต็มที่ แม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีผู้สละบ้านเรือนออกมาบวชอยู่โดยสม่ำเสมอ จนบางทีมีคนพูดติดตลกว่า “พระวัดป่ากุงคือชมรมคนหนีเมียมาบวช”

ไม่เฉพาะแต่ฆราวาสญาติโยมเท่านั้น แม้พระที่ติดตามท่านมาเวลาป่วยไข้ท่านจะสอนให้เอาธรรมโอสถสู้ เรื่องหยูกยาไว้ทีหลัง อย่างเช่น พระอาจารย์ทองใบ เป็นโรคบิด จนผอมเหลือง ฉันข้าวไม่ได้ มีแต่ถ่ายท้องอย่างเดียว

ท่านเรียกให้ไปหาและถามว่า “ท่านใบได้ข่าวว่าไม่สบาย หายหรือยัง”

“โอ้ย!… ยังไม่หายล่ะครับ ถ่ายท้องมากเหลือเกิน จนไม่มีเวลาพักผ่อนเลย มีแต่เข้าท้องน้ำ”

ท่านจึงสอนว่า “ยิ่งกินมันยิ่งขี้นะ อย่ากินมาก”

จากนั้นอาจารย์ทองใบไม่ลงฉันข้าว 7 วัน โรคนั้นหายขาดเลย นี่มันเป็นธรรมโอสถอย่างหนึ่ง

 

กายทิพย์นำของมาฝาก นอกจากท่านสั่งสอนพระเณร ประชาชนญาติโยมแล้ว ยังมีพวกกายทิพย์ ภูตผีที่ท่านเมตตาโปรดอีกมากมาย ท่านเล่าให้ฟังว่า บางวันเดินจงกรม จะมีพวก

กายทิพย์นำของมาฝากเช่น ไหเงิน ไหทองเขาเดินลากมา ถ้าเป็นคนธรรมดาจะมองเห็นเหมือนไหมันลอยมาเองบนอากาศ แล้วเขาก็ถามท่านว่า “จะเอาของมาฝาก จะให้เอาไว้ตรงไหน”

ท่านก็บอกว่า “จะเอาไว้ไหนก็เอาไว้เถอะ” พอท่านพูดจบ “เขาก็เอามือกดไหเหล่านั้น กดครั้งเดียวจมลงดินมิดหมดเลย ไหก็ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาก สูงประมาณเอว แต่เขาไม่ได้ใช้อะไรขุดดินเลย ใช้มือกดทีเดียวจมลงมิดเลย เดินไปดูตามทางพื้นดินจะเป็นรอยลึกลงไปประมาณ 4 – 5 นิ้ว

เขาบอกว่า ถ้ามีที่เก็บอีกก็จะเอามาฝากเพิ่มอีกภายหลัง แต่บริเวณสระด้านบน เขาจะมาสร้างเจดีย์ให้ ภายหลังปรากฏว่าได้สร้างเจดีย์บริเวณนั้นจริง ๆ” (ปัจจุบันคือบริเวณที่สร้างเจดีย์หิน เพื่อบูชาคุณหลวงปู่ศรี ที่วัดป่ากุง)

และท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า มีทรัพย์สมบัติของโบราณเขาเอามาฝากไว้ในเจดีย์เต็มไปหมด พอเขารู้ว่าเราจะสร้าง เขาก็พากันเอามาฝากเต็มไปหมด ยิ่งถ้าสร้างเสร็จเขาก็ยิ่งจะเอามาเยอะ ของเหล่านี้คนธรรมดาจะดูไม่เห็น

กว่าจะเป็นวัดป่ากุง

ท่านเจ้าคุณพระราชธรรมานุวัตร (เลื่อน สุกวโร) วัดเหนือ จังหวัดร้อยเอ็ด ได้เล่าสมัยเป็นเณรอยู่กับหลวงปู่ศรีว่า…

การสร้างวัดป่ากุง อาตมาว่าแม่ใหญ่หล้า มีส่วนสำคัญมากเหลือเกินในการสร้างวัดป่ากุง ท่านอาจารย์ศรีมาอยู่ปี พ.ศ. 2496 พวกแม่ใหญ่หล้าบ้านก่อ ปู่แสง พ่อใหญ่บุญจัน ตอนเช้าก็หาบกล่องข้าว ข้ามโคก ข้ามป่า เดินลัดโคกป่าช้า ทางแคบ ๆ มาถวายจังหัน

ปี 2497 ตัดทางเล็ก ๆ ลัดข้ามป่าช้าบ้านโคกข่า บ้านเหล่าล้อ บ้านก่อ บ้านสองห้อง พวกคนเฒ่าคนแก่หาบกล่องข้าวข้ามป่าข้ามดงมาตอนเช้า ตอนเย็นก็ค่ำเสียก่อนค่อยกลับ เวลาพระฉันข้าวก็พากันไปสับหญ้าดายหญ้า พวกผู้ชายก็ได้มีดไปถางป่า จนพระฉันเสร็จค่อยขึ้นมา ใครมีธุระก็กลับก่อน แต่ว่าผู้เฒ่าพวกนี้ ไม่ค่อยกลับ ผู้เฒ่าผู้ชาย ปู่แสง ปู่บุญจัน แม่ใหญ่หล้า อย่างนี้ส่วนมากอยู่จนค่ำมืดถึงกลับ วันศีลก็มาจำศีล เมื่อดูวัดป่ากุงสมัยนั้นมันไม่น่าจะเป็นวัดเป็นวานะ น้อย ๆ แคบ ๆ ออเจ๊าะ (เล็กมาก)

บางครั้งไปพบหมาจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ นะ มันลงมาตามหุบห้วยแถวนี้ บางคนก็ทิ้งหาบกล่องข้าวไม่รู้สึกตัวแหละ หมาจิ้งจอกตัวใหญ่มันมักจะวิ่งข้ามหุบแถวนี้ แต่ก่อนหมาจิ้งจอกเยอะจริง ๆ แถวโคกป่าช้า

วันไหนฝนตกหนักพระไปบิณฑบาตไม่ได้ ชาวบ้านเขาแกงผักขี้เหล็กเป็นหลัก อยู่วัดป่ากุงสมัยนั้น ฉันข้าวกับแกงผักขี้เหล็กเป็นหลัก แต่ต้องทำขม ๆ นะโดยเฉพาะท่านอาจารย์ใหญ่ (ศรี) ท่านชอบ

บิณฑบาตไกล บิณฑบาตยาก ลำบากแค่ไหนก็ตาม อยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม ถ้าฤดูแล้งก็บุกดินทราย หน้าฝนก็บุกขี้โคลน

วันไหนว่างๆ ท่านอาจารย์ศรีท่านบอกให้ไปป่าช้า ไปหาเอาของที่เขาเผาอุทิศให้ผี ไปหาเสียมเหี้ยน จอบเหี้ยน มีด เคียวตามป่าช้า ไปหาเก็บมา ดีกว่าที่เขาจะเอาไปทิ้งไว้เฉย ๆ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เอามาใส่ด้ามไว้เป็นประโยชน์

เคียวก็เอามาเกี่ยวหญ้า มีดก็เอามาเข้าด้ามได้ใช้กัน

เสียมจอบเอามาใส่ด้ามไว้ดายหญ้าได้

กุฏิก็กุฏิฝาแถบใบตองปลวกขึ้น

ศาลาก็เป็นกระต๊อบซอมซ่อน้อย ๆ ศาลานี้ก็เอาไม้สารพัดไม้ ไม้ทุกอย่าง ไม้โลงศพคนตาย ไม้คานหาม นี่ทำเป็นฟากปูพื้นกุฏิได้

พวกผ้าเสื่อที่รองศพคนตายมา ผ้าห่อศพท่านไม่ให้ทิ้ง ท่านว่าทำให้มันเป็นประโยชน์ เอาไปฉีกนุ่นออก เสร็จแล้วก็ซักเป็นผ้าเช็ดเท้า

ไม้ฝาโลงก็เขียนลายต่าง ๆ ท่านก็ไม่ให้ลบออกหรอกเอาไว้อย่างนั้นแหละ ให้เห็นแต่ว่าแปลก ส่วนฟูกขาดมาแกะนุ่นออก แล้วในวัดมีลิง ท่านให้เอามาตัดเสื้อให้ลิงบักโดนุ่ง…มันน่าดูจริง ๆ (ลิงชื่อว่า “บักโด”)

พวกคนเฒ่าเขาก็มานอนวัดนอนวา อยู่ที่ศาลากระต๊อบเล็ก ๆ นั่นแหละ อยู่กันบำเพ็ญปฏิบัติกันมา ไม่คิดว่ามันจะเป็นวัดนะ ยิ่งตอนที่ท่านไปอยู่นครพนมนี่ มีพระผู้เฒ่าอยู่ทีละองค์ 2 องค์บ้าง ไม่มีบ้าง แต่ว่าพวกผู้เฒ่าเหล่านี้เขาไม่ทิ้งนะ แม้ท่านไม่อยู่ก็ตาม เขาก็มาอยู่อย่างนั้นหละ

เพราะฉะนั้นพวกเราเห็นวัดป่ากุงในปัจจุบันนี้ ให้หลับตานึกย้อนหลัง ถ้าผู้ใดเห็นภาพเก่า ๆ เห็นการเริ่มต้นของวัดป่ากุงว่าขนาดไหน เริ่มต้นมาอย่างไร

ฉะนั้นอย่างแม่ใหญ่หล้า อาตมาว่าน่าจะถือเป็นบุคคลตัวอย่าง อดทนเหลือเกิน เอาจริง ๆ เอาจัง ใครจะว่ายังไงก็ตาม แกก็มาอยู่อย่างนั้นหละ

เพราะฉะนั้น อาตมาว่าแกมีส่วนมากเหลือเกินในการสร้างวัดป่ากุงเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา ให้พวกเราได้มาบำเพ็ญปฏิบัติอยู่อย่างนี้ แล้วบั้นปลายของชีวิตแกก็มาอยู่สำนักชี สำนักชีกว่าจะเกิดขึ้นได้ โอ้ย! มันยากจริงๆ

เพราะฉะนั้นช่วยกันรักษา ช่วยกันสรรสร้าง สำนักชีกว่าจะได้ขึ้นมา ทีแรก 4 ไร่ พอเกิดขึ้นแล้วก็ดูซิ โยมฝ่ายผู้หญิงมีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม ได้พักได้ขยายกระจายกันออกไปหลาย ๆ วัดนี่เป็นต้น ของเหล่านี้ไม่ใช่ของง่าย ๆ ยากลำบากกันทั้งนั้น

หลวงปู่ศรี มหาวีโร

พระเทพวิสุทธิมงคล

วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง)

ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด

ปฐมเหตุแห่งวัดป่ากุง. (2562).  สืบค้นจากเพจวัดประชาคมวนาราม-ป่ากุง Wat Prachakom Wanaram-Pahkoong https://www.facebook.com/pahkoong

วัดประชาคมวนาราม หรือวัดป่ากุง. (2568). สืบค้นจากเว็บไซต์ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) https://cbtthailand.dasta.or.th/webapp/relattraction/content/3200/

วัดประชาคมวนาราม หรือวัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด. (). สืบค้นจากเว็บไซต์ องค์การบริหารส่วนตำบลขอนแก่น
อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด https://khonkaen101.go.th/public/list/data/detail/id/1722/menu/1173/page/1