ปราสาทสระกำแพงน้อย
ปราสาทหินสระกำแพงน้อย ตั้งอยู่ภายในวัดสระกำแพงน้อย ติดกับถนนสายอุทุมพรพิสัย-ศรีสะเกษ ในเขตตำบลขยุง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 18
ปราสาทสระกำแพงน้อย สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงโปรดให้สร้างขึ้นในจำนวนทั้งสิ้น 102 แห่ง ซึ่งปัจจุบันค้นพบอโรคยศาลในดินแดนไทยจำนวน 30 หลัง อโรคยศาลบางหลังได้พบจารึกด้วย ทำให้เราทราบถึงความห่วงใยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ทรงมีต่อประชาชนว่า โรคทางกายของปวงชนนี้ เป็นโรคทางจิตใจที่เจ็บปวดยิ่ง เพราะความทุกข์ของราษฎร แม้มิใช่ความทุกข์ของพระองค์ แต่เป็นทุกข์ของเจ้าเมือง
ประเทศไทยมีการพบปราสาทประเภทหนึ่งซึ่งมีลักษณะแผนผังแบบเดียวกันคือประกอบด้วยไปด้วยปราสาทประธานตรงกลาง บรรณาลัยทางด้านทิศสต้ โคปุระ กำแพงล้อมและสระน้ำทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปราสาทแบบนี้บางหลังพบจารึก “โรงพยาบาล” ซึ่งทำให้ทราบได้ว่าปราสาทแบบนี้ก็คืออโรคยศาลตามที่ระบุไว้ในจารึกปราสาทตาพรหมนั่นเอง
ปราสาทแห่งนี้คงเคยเป็นศาสนสถานประจำโรงพยาบาล อาจเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา พระพุทธเจ้าแห่งการรักษาโรค ขนาบข้างด้วยพระโพธิสัตว์ 2 พระองค์ คือพระสุรยปรภาและพระจันทรประภา ซึ่งพระนามทั้งสามนี้ปรากฏในจารึกโรงพยาบาลทุกหลัก ส่วนสถานพยาบาลนั้นคงสร้างด้วยไม้และสูญหายไปแล้วในปัจจุบัน
การสร้างปราสาทในกลุ่มนี้ด้วยความรีบเร่ง เนื่องจากเป็นพระบรมราชโองการจากส่วนกลาง การสร้างด้วยศิลาแลงอย่างง่าย ๆ บางครั้งมีการนำเอาของเก่ามาใช้ใหม่ เช่น ปราสาทสระกำแพงน้อยแห่งนี้ มีการนำเอาทับหลังและส่วนประกอบสถาปัตยกรรมอื่น ๆ ที่เป็นหินทรายจากปราสาทสมัยบาปวนแห่งหนึ่งมาสร้าง
แผนผังของปราสาท ประกอบด้วย ปราสาทประธาน 1 หลัง บรรณาลัย 1 หลัง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ด้านหน้าทางด้านทิศตะวันออกมีอาคารประตูซุ้มหรือโคปุระต่อเชื่อมต่อกับแนวกำแพงแก้ว นอกกำแพงแก้วมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีสระนำ กรุด้วยศิลาแลง 1 สระ และยังมีบารายขนาดใหญ่ด้านทิศตะวันออก 1 แห่ง และด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ 1 แห่ง
บ่อน้ำที่ปราสาทสระกำแพงน้อย เคยนำน้ำทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในงานพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 อีกทั้งยังเคยใช้ในการประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาอีกด้วย
น้ำศักดิ์สิทธิ์ในสระของปราสาทสระกำแพงน้อยได้นำไปใช้ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในการประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2562
สภาพก่อนการบูรณะ ปราสาทตั้งอยู่ในหมู่ต้นไม้ใหญ่มีกำแพงศิลาแลงรอบบริเวณ ส่วนมากปรักหักพังไปแล้ว มีเหลืออยู่บ้างบางส่วน เห็นได้ว่าสูงราว 2 เมตร ลักษณะกำแพงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 22 เมตร ยาวประมาณ 35 เมตร มีทางเข้าทั้งสี่ทิศ
ซุ้มประตูทางเข้าด้านตะวันออกมีโครงเหลืออยู่สร้างด้วยศิลาแท่งใหญ่ตั้งซ้อนเฉียงขึ้นไปบรรจบเป็นซุ้มจั่วมน ส่วนด้านข้างพังทะลายลงมา ช่องประตูเตี้ยต้องบลอดเข้าไป ภายในปราสาทคล้ายห้องโถงเล็ก มี 4 ประตู ทิศเหนือและใต้เป็นช่องทางเดินเข้าสู่ห้องซ้ายขวา ทางทิศตะวันตกเข้าไปเป็นลานกว้าง ลานด้านตะวันตกใกล้กำแพงเป็นปรางค์องค์ประธาน สร้างด้วยศิลาแลงก้อนใหญ่วางทับซ้อนขึ้นไปเรียวเป็นยอดปรางค์ สูงประมาณ 11 เมตร (ยอดพังลงมาแล้ว) ทรงปรางค์เป็นรูปแปดเหลี่ยมกว้างด้านละ 5 เมตร มีช่องประตูเตี้ย ๆ ด้านตะวันออกด้านเดียว ลวดลายจำหลักที่เสาประตูเหลืออยู่เล็กน้อยและมีที่หล่นอยู่บ้าง
ส่วนลายกรอบหรือทับหลังประตูนั้นอันตระานไปนานแล้ว ย่อตัวเล็กน้อยเข้าไปภายในมีแสงสว่างสลัวมาจากยอดปรางค์ที่หัก ในลานด้านซ้ายมือปรางค์ประธาน มีศิลาแลงวางทับซ้อนกัน 4-5 ก้อน กรมศิลปากรบันทึกว่าเป็นซากวิหาร ทางขวาเป็นแท่นหินวางเรียงขึ้นเป็นชั้น กว้างยาวด้านละ 3 เมตร ตรงกลางมีเสาหินทรายสูงราว 50 เซนติเมต ทราบว่าเดิมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินโบราณ แต่หายไปนานแล้ว ทางวัดได้นำพระพุทธรูปหินองค์ใหม่มาตั้งแทน อีกส่วนหนึ่งของแท่นสร้างศาลเพียงตาขนาดเล็กหนึ่งหลัง สำหรับเป็นที่สักการะบูชาของชาวบ้าน
บริเวณด้านทิศใต้ใกล้กับทางเข้ามีปรางค์ที่ปรักหักพังมาก มีซากเหลืออยู่สูงประมาณ 6 เมตร ที่ประตูเตี้ย้านตะวันตก พระภิกษุเล่าว่า แต่ก่อนมีลายทับหลังประตูสวยงามมาก เป็นรูปพระวรุณเทพประทับบนแท่น มีหงส์ 3 ตัว แบกอยู่เหนือเศียรเกียรติมุขประกอบด้วยลายก้านขดงดงาม แต่ได้หายไปนานแล้ว ช่องหน้าต่างที่ยังเห็นเหลืออยู่เป็นกรงลายลูกมะหวดบางตอน
ปรางค์ปราสาทก่อด้วยศิลาแลงทั้งหลัง ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม ขนาด 4.902×4.92 เมตร หันหน้าทางทิศตวันออก ด้านหน้าก่อเป็นห้องมุขยื่นออกมารขนาดกว้าง 2.70×2.70 เมตร ผนังเรือนธาตุด้านทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้ ทำเป็นประตูหลอก ที่ผนังด้านทิศใต้ของห้องมุขหน้าก่อเว้นเป็นหน้าต่าง 1 บาน มีกรอบทำด้วยหินทราย ที่กรอบด้านล่างมีร่องรอยกรมของเสาลูกมะหวด ประกอบบนหน้าต่าง เสาประดับกรอบประตูมุขหน้า สลักลวดลายตามรูปแบบศิลปกรรมบาบนและเสาประดับกรอบประตูห้องกลางสลักลวดลายที่ฐานเสารูปฤาษีในซุ้ม ด้านหน้าปราสาทประธานก่อเป็นลาสี่เหลี่ยมย่อมุม มีร่องรอยหลุมเสา
วิหารผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งยังมีทับหลังศิลาทรายจำหลักเป็นรูปพระศิวะและพระอุมาประทับบนหลังโคนนที พร้อมแท่นฐานศิวะลึงค์หินทรายตั้งอยู่ บรรณาลัยก่อด้วยศิลาแลงอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ โคปุระ ก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบองค์ปรางค์ทั้งสีด้าน เหนือประตูยังมีทับหลังหินทรายสลักรูปพระกฤษณะปราบนาคกาลิยะ มีสระน้ำทรางสี่เหลี่ยมผืนผ้ากรุด้วยศิลาแลงเป็นขั้นบันไดลงไปทั้งสี่ด้านอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
บรรณาลัย
ก่อด้วยศิลาแลง แผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 3.70 เมตร ยาว 5.80 เมตร หันหน้าทางทิศตะวันตก ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน หลังคาพังทลาย ประกอบด้วย ห้องกลางและห้องมุขหน้าผนังสามด้านก่อทึบ โดยผนังด้านหลังทางทิศตะวันออกก่อเป็นประตูหลอกด้วยการก่อแนวผนังลดระดับจากมุมอาคารเล็กน้อย หน้าห้องมุขหน้าและทางเข้าห้องกลาง ยังคงมีเสากรอบประตูอยู่ ภายในห้องก่อแนวศิลาแลง ลักษณะยกระดับเป็นแท่น สันนิษฐานว่าคงเป็ฯพื้นที่ประดิษฐานรูปเคารพ
กำแพงแก้ว
ก่อด้วยศิลาแลง แผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดว้าง 21.50 เมตร ยาว 34.50 เมตร ด้านทิศตะวันออกก่อเชื่อมกับอาคารประตูซุ้มหรือโคปุระ และก่อเว้นเป็นช่องประตูขนาดเล็กทางด้านใต้ของโคปุระยังคงมีร่องรอยกรอบประตูล่างปรากฏอยู่ อาคารประตูซุ้มหรือโคปุระ ก่อด้วยศิลาแลง แผนผังรูปกากบาท ประกอบด้วยห้องมุขหน้าด้านทิศตะวันออก ห้องกลาง ห้องมุขทิศเหนือ ห้องมุขทิศใต้ และมุขเล็กๆ ทางด้านตะวันตก ห้องามุขหน้าด้านทิศตะวันออกเหลือหลักฐานถึงหลังคาโค้งทรงประทุน ปนังด้านทิศเหนือและทิศใต้ของห้องมุขหน้า มีหน้าต่างด้านละ 1 บาน กรอบทำด้วยหินทรายประดับด้วยเสาลูกมะหวด 5 เสา ผนังด้านทิศตะวันออกของห้องมุขทิศเหนือและห้องมุขทิศใต้ มีหน้าต่างต้นละ 1 บาน ลักษณะเช่นเดียวกับกรอบหน้าต่างห้องสมุขหน้าแต่ประดบด้วยเสาลูกมะหวด 3 เสา
แนวศิลาแลง
อยู่ภายในกำแพงแก้วด้านมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน ลักษณะเป็นแนวศิลาแลงก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มุมมีร่องรอยหลุมเสา ลักษณะการก่อสร้างและตำแหน่งเดียวกันนี้ เคยพบที่ปราสาทนางรำ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นที่ตั้งศิลาจารึก
สระน้ำกรุด้วยศิลาแลง
ตั้งอยู่นอกกำแพงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทางวัดทำถนนตัดผ่านระหว่งแนวกำแพงแก้วด้านทิศเหนือกับสระน้ำ ในบริเวณโบราณสถานมีทับหลังสลักลวดหลายหลายชิ้น มีรูปศิลปกรรมบาปวน ราวพุทธศตวรรษที่ 16 เช่นทับหลังรูปอุมามเหศวร พระวรุณทรงหงส์ เป็นต้น จึงสันนิษฐานว่าแต่เดิมบริเวณนี้คงเป็ฯที่ตั้งศาสนสถานมาก่อนและมีการก่อสร้างเป็นอโรคยศาลในตอนหลัง ช่วงพุทธศตวรรษที่ 18
จากสระรัชดาภิเษก ไปอีกราว 70 เมตร มีสระโบราณขนาดใหญ่อีกสระหนึ่ง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 80 เมตร ยาว 150 เมตร มีน้ำขังอยู่ตลอดปี สำหรับทางวัดและชาวบ้านใช้ รอบสระมีต้นไม้ใหญ่หลายชนิดปลูกเรียงรายให้ความร่วมเย็น จัดเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
สันนิษฐานว่าคงจะมีการก่อสร้าง 2 สมัย เนื่องจากเคยมีทับหลังซึ่งกำหนดอายุจากภาพสลักได้ราวพุทธศตวรรษที่ 16 แต่รูปแบบของสิ่งก่อสร้างในปัจจุบันเป็นศิลปะขอบแบบบายนร่วมสมัยสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2478 และประกาศกำหนดขอบเขตที่ดินโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 119 ตอนพิเศษ 117ง วันที่ 29 พฤศจิกายน 2545 เนื้อที่ 53 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา
เอกสารอ้างอิง
ฉันท์ สุวรรณบุณย์. (2515, ธันวาคม). ปราสาทหินศรีสะเกษ. วิทยาจารย์, 71(10), 5-14.
เปิดตำนานปราสาทสระกำแพงน้อย แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ศรีสะเกษ ผู้ว่าฯจับมือ เครือมติชน เสวนาเสวยราชสมบัติกษัตรา. (2562, มีนาคม 13). มิติชนออนไลน์. ค้นเมื่อ 5 พฤษภาคม 2566, จาก https://www.matichon.co.th/region/news_1426305

