พญานาคในพุทธศาสนา
พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ความมีวาสนา และบันไดสายรุ้งสู้จักรวาล นาคเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์จากการจําศีล บําเพ็ญภาวนา ศรัทธาใน พระพุทธศาสนาไม่เบียดเบียนผู้อื่น พญานาคนั้น มักจะพบเห็นเป็นรูปปั้นอยู่ตามหน้าโบสถ์ตามวัดต่าง ๆ บันไดขึ้นสู่วัดในพระพุทธศาสนาและภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอีก มากมาย รวมทั้งนครมหาปราสาทวัด ถ้าสังเกตก็คงเป็นศาสนาพุทธ ทําไมมีเรื่องราวของพญานาคเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย (พระปลัดพจน์ทพล ฐานสมฺปุณฺโณ (ยุบลเลิศ), 2563, หน้า 7)
นาคในศาสนาพุทธ ปรากฏในรูปของงูขนาดใหญ่ บางตนมีพลังวิเศษแปลงกายเป็นรูปมนุษย์ได้ เชื่อว่านาคอาศัยในบาดาล เช่นเดียวกันกับเทวดาบางส่วน และอาศัยในส่วนต่าง ๆ ของโลกมนุษย์ บางส่วนอาศัยในน้ำ เช่น ลำธาร แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร และบางส่วนอาศัยบนบก เช่นในถ้ำ

พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ความมีวาสนา และบันไดสายรุ้งสู้จักรวาล นาคเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์จากการจําศีล บําเพ็ญภาวนา ศรัทธาใน พระพุทธศาสนาไม่เบียดเบียนผู้อื่น พญานาคนั้น มักจะพบเห็นเป็นรูปปั้นอยู่ตามหน้าโบสถ์ตามวัดต่าง ๆ บันไดขึ้นสู่วัดในพระพุทธศาสนาและภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอีก มากมาย รวมทั้งนครมหาปราสาทวัด ถ้าสังเกตก็คงเป็นศาสนาพุทธ ทําไมมีเรื่องราวของพญานาคเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย (พระปลัดพจน์ทพล ฐานสมฺปุณฺโณ (ยุบลเลิศ), 2563, หน้า 7)
นาคในศาสนาพุทธ ปรากฏในรูปของงูขนาดใหญ่ บางตนมีพลังวิเศษแปลงกายเป็นรูปมนุษย์ได้ เชื่อว่านาคอาศัยในบาดาล เช่นเดียวกันกับเทวดาบางส่วน และอาศัยในส่วนต่าง ๆ ของโลกมนุษย์ บางส่วนอาศัยในน้ำ เช่น ลำธาร แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร และบางส่วนอาศัยบนบก เช่นในถ้ำ
นาคเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ หนึ่งในโลกบาลผู้พิทักษ์ทิศตะวันตก นาคต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์บนเขาพระสุเมรุ เพื่อปกป้องชั้นดาวดึงส์จากอสูร
พญานาคที่มีฤทธิ์สามารถแปลงกายเป็นคน แต่งกายเลียนแบบคนเพื่อให้กลมกลืนและเพื่อให้สื่อสารกับคนได้ โดยปกติพญานาคนั้นรักสงบถือศีลอย่างเคร่งครัดมากกว่ามนุษย์ แต่ด้วยเหตุที่เป็นสัตว์เดรัจฉานและมีพิษอันตรายและที่สําคัญพญานาคมีธาตุขันธ์ไม่บริบูรณ์ ซึ่งจะไม่สามารถบรรลุธรรมถึงขั้นสูงได้ แต่ด้วยความที่มีใจใฝ่ธรรมะเพื่อสะสมบุญบารมีโดยหวังอานิสงส์ผลบุญเพื่อชาติหน้าอาจเกิดเป็นมนุษย์ได้ ตามรอยบาทพระพุทธองค์ได้ โดยเฉพาะตอนที่เจอพระธุดงค์เพื่อทําบุญรับศีลรับพรจะทําบุญด้วยการติดต่อช่วยเหลือพระธุดงค์และฤๅษีผู้ทรงศีลในรูปแบบต่าง ๆ (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)


นาคทําบุญได้โดยการช่วยเหลือผู้ทรงศีลด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น พญามุจลินท์นาคราชในพุทธประวัติที่เข้ามาทําบุญด้วยการวนขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกพระประจําวันเสาร์ และค่อยกลายร่างเป็นมนุษย์เพื่อรับบุญทีหลัง พญานาคและสัตว์ในตํานานเหมือนกัน เช่น พญาครุฑ จึงเหมือนกันในข้อนี้คือแปลงร่างได้บางเวลา เพื่อรับศีล รับบุญแต่ตอนช่วยเหลือพระธุดงค์หรือผู้มีฌานสมาบัติจะมาในรูปสัตว์ใหญ่มากกว่า (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึง “นาค” ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกับมิติที่มนุษย์อาศัยอยู่ นาคมีลักษณะกึ่งเทพกลุ่มหนึ่งซึ่งมีหลายชั้นหลายตระกูล นาคมีมาก่อนสมัยพุทธกาลอาศัยอยู่ที่เมืองบาดาลใต้น้ำาส่วนที่ลึกมาก นาคฝักใฝ่ธรรมะเป็นที่ตั้งมีจิตใจเมตตามีชื่อเรียกต่างกันว่า พระยานาค หรือพญานาค หรือภุชงค์ วาสุกรี นาคี นาคา อนันตนาค เศษนาค (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
พระสุตันตปิฎก
ในบทเทศนารวมทั้งชาดกต่างมีการจัดให้นาคอยู่ถัดจากมนุษย์และก่อนคนธรรพ์ กินนร ฯลฯ ในโทณสูตรนั้น จัดให้นาคอยู่ในระดับกึ่งกลางระหว่างมนุษย์และเทพ ในมหาสมัยสูตรได้แสดงให้เห็นว่านาคเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์และอาศัยอยู่ในอุตตรกุรุทวีป โดยมี เมืองอาลกมันทาเป็นเมืองหลวง (พระปลัดพจน์ทพล ฐานสมฺปุณฺโณ (ยุบลเลิศ), 2563, หน้า 7)
ในพระไตรปิฏก กล่าวว่า นาค มาจากคําว่า น ซึ่งแปลว่าไม่ ส่วน อค แปลว่า บาป หากคําว่า นาค แปลว่า ไม่มีบาปจริง หาก เรียกเจาะจงงูที่เป็น สัตว์เลื้อยคลานใช้คําว่า อหิหรือ อุรคะ หรือ สัปปะ แต่ถ้าหากมุ่งถึง พญานาคมักจะเรียกว่า อหิชาติ หรือ อุรคชาติหมายถึง ผู้เป็นชาติเชื้อแห่งงูหรือเป็นเจ้าแห่งงู ก็อาจมีนัยถึงช่วงเปลี่ยนผ่านจากความ เป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นนาค ซึ่งน่าจะมีความบริสุทธิ์กว่ามนุษย์เป็นผู้ศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า เสียสละ มีความเพียร รักษาศีลขั้นสุดท้ายคือความเป็นผู้เข้าถึงความหลุดพ้น ซึ่งอาจถือได้ว่าผู้บริสุทธิ์ที่สุด และพญานาคยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้ำจุนพระพุทธศาสนา ดั่งที่ปรากฏสืบมาจากอดีตกาลถึงปัจจุบัน (พระปลัดพจน์ทพล ฐานสมฺปุณฺโณ (ยุบลเลิศ), 2563, หน้า 8)

นาคเป็นสัตว์จําพวกเดียวกันกับงูหรือพวกอุรคาผู้เลื้อยไปด้วยอก แต่มีความพิเศษกว่างูทั้งหลาย เพราะเป็นสัตว์ที่มีฤทธิ์และเดช แตกต่างจากงู โดยทั่วไป นาคบางจําพวกสามารถจําแลงกายในรูปของมนุษย์และสัตว์อื่นได้ จึงกล่าวไว้อย่างชัดเจน และไม่ต้องตีความตัวอักษรเพราะเมื่อพูดถึง “งู” ท่านก็ใช้คําว่า “งู” หรือเมื่อพูดถึงนาคในความหมายอื่น เช่น หมายถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือประเสริฐกว่า ก็บรรยายขยายความไว้สิ่งอื่น
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้พระนครสาวัตถีครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้า ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้นาคที่ เป็นอัณฑชะบางพวกในโลกนี้รักษาอุโบสถและสละกายได้ ?”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ดูกรภิกษุ นาคบางพวกที่เป็นอัณฑชะในโลกนี้มีความคิด อย่างนี้ว่า เมื่อก่อน พวกเราเป็นผู้กระทํากรรมทั้งสอง ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจพวกเรานั้น กระทํากรรมทั้งสองด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เมื่อตายไป จึง เข้าถึงความเป็นสหายของพวกนาคที่เป็นอัณฑชะ ถ้าวันนี้พวกเราพึงประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจไซร้เมื่อเป็นอย่างนี้เมื่อตายไป พวกเราจะพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เชิญพวกเรามาประพฤติ สุจริตด้วยกายด้วยวาจา ด้วยใจเสียในบัดนี้เถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้นาคที่เป็นอัณฑชะบางพวกในโลกนี้รักษาอุโบสถและสละกายได้” (พระปลัดพจน์ทพล ฐานสมฺปุณฺโณ (ยุบลเลิศ), 2563, หน้า 8)
ในชาดกกล่าวว่าพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระภูริทัต ในพุทธกาลตอนที่พระสิทธัตถุตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสวยข้าวมธุปายาส ซึ่งนางสุขาดานำมาถวายทั้งถาดทอง และได้ลอยถาดลงไปถึงภิภพนาคชื่อพญากาลภุชคินทร์

พระวินัยปิฎก
การสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก มาจากเรื่องราวในพุทธประวัติช่วงที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุติสุข พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ใต้ต้นมุจลินทร์หรือไม้จิก ขณะนั้นได้เกิดพายุฝน พญานาคได้เลื้อยขึ้นมาจากสระและปกป้องการบำเพ็ญสมาธิของพระพุทธองค์ด้วยการขนดตัวและแผ่พังพานปรก ด้วยความประสงค์ไม่ให้ฝนและลมหนาวต้องพระวรกาย ทั้งปกป้องสัตว์เลื้อยคลานทั้งมวล เมื่อฝนหายแล้วพญามุจลินทนาคราชได้คลายขนดออก แปลงกายเป็นบุรุษหนุ่มยืนยืนพนมมือถวายความเคารพอยู่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า การสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกเปรียบเสมือนการให้นาคเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองศาสนาและแสดงถึงความศรัทธาต่อพุทธศาสนาของนาค
ครั้งหนึ่งมีนาคตัวหนึ่งอึดระอา เกลียดกําเนิดนาคซึ่งนาคนั้นได้มีความดําริว่า “ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะพ้นจากกําเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน ครั้นแล้วดําริต่อไปว่า “พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่าผู้แลประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์กล่าวแต่คําสัตย์มีศีล มีกัลยาณธรรมจะพึงบวชใน หากเรานักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้เราก็จะพ้นและกลับได้อัตภาพเป็นกําเนิด นาค มนุษย์เร็วพลัน ครั้นแล้วนาคนั้นจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มไปแล้วเข้าหาภิกษุทั้งหลายเข้าขอ บรรพชาภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาอุปสมบท สมัยต่อมา พระนาคนั้นอาศัยอยู่ในวิหารสุดเขตกับ ภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นปัจจุสมัยแห่งราตรีภิกษุรูปนั้นออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้งตื่นนอนแล้ว ครั้นภิกษุ รูปนั้นออกไปแล้ว พญานาคนั้นก็วางใจ หันหลังไปเห็นเต็มไปด้วยงูขดยื่นออกไปทางหน้าต่าง ครั้น ภิกษุรูปนั้นผลักบานประตูด้วยเข้าไปในวิหารจักได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงูเห็นขดยื่นออกไปทาง หน้าต่าง ก็ตกใจ จึงรู้เอะอะขึ้น ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไปแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส เอะอะ ไปทําไม ภิกษุรูปนั้นบอกว่า อาวุโสทั้งหลาย วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงูขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง ขณะนั้น พระนาคนั้น ได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะของตน ภิกษุได้ถามว่าท่านเป็น ใคร พญานาคจึงบอกความจริงแก่ภิกษุทั้งภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค๗ รับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์เหตุเป็นเค้ามูลแรกเกิดนั้น แล้วได้ทรงประทานพระพุทธ โอวาทนี้แก่นาคนั้นว่า พวกเจ้าเป็นนาคมีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา จึงให้นาคไป รักษาอุโบสถในวันที่ ๑๔, ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์นั้น ด้วยวิธีนี้นาคจึงจะพ้นจากกําเนิดนาค และจะ กลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลันนาคนั้นได้ทราบว่าตนมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็น ธรรมดาก็เสียใจหลั่งน้ําตา ส่งเสียงดังแล้วหลีกไป พระผู้มีพระภาครับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่าปรากฏ ตามสภาพของนาค มีสองประการนี้คือ เวลาเสพเมถุนธรรมกับนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน และเวลา วางใจนอนหลับขาดสติภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค ๒ ประการนี้นาคนั้น คือ สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุจึงไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทอยู่แล้ว ต้องให้สึกเสีย
การสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกเป็นรูปเคารพในพุทธศาสนา ด้วยการนำเอารูป “งูใหญ่” หรือ “นาค” เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้คนในยุคนั้นที่ยังคงเลื่อมใสนับถืองูใหญ่ ไม่รู้สึกผิดบาปในการเคารพกราบไหว้ เพราะเมื่อทำการเคารพบูชาพระพุทธรูปปางนาคปรก ก็เท่ากับบูชาทั้ง พระพุทธเจ้า และงูใหญ่ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเท่ากับเป็นกุศโลบายในการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับความเชื่อ ใหม่ จนเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปจนพุทธศาสนาในประเทศอินเดียมีความมั่นคงขึ้น การแข่งขันกับศาสนาฮินดู และลัทธิศาสนาอื่น ๆ ร่วมสมัยเดียวกัน เช่น ศาสนาเชน หรือไชนะ รวมทั้งลัทธิตันตระ ก็ทวีความรุนแรงมาก ขึ้น จนต้องนำเอาเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เข้ามาแต่งเติมเสริมต่อแฝงไว้กับคติความเชื่อด้ว ยเพื่อให้เกิด ความขลังและความศักดิ์สิทธิ์น่าเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น เรื่องราวของงูใหญ่ หรือนาค จึงได้กลายเป็นสัตว์ที่ได้รับ ความนิยมสูงสุดมีการนำรูปงูใหญ่ หรือนาค มาเป็นองค์ประกอบทั้งในงานสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และ จิตรกรรม ตลอดจนงานหัตถกรรมและงานประณีตศิลป์ทุกแขนงสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ (อินเดีย : อิทธิพลต้นกำเนิดของความเชื่อเกี่ยวกับ “นาค” หรือ “พญานาค”)


ในตอนที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ภายหลังจากโปรดพระพุทธมารดา แล้วเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ทางบันไดนาค ซึ่งมีปรากฏบนภาพจิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนาค
พระไตรปิฎกและในชาดกได้กล่าวถึงพญานาคที่ได้เข้ามามีบทบาทในศาสนาพุทธว่า ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตัวหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงแปลงกายเป็นมนุษย์และบวชเป็นพระภิกษุ เนื่องจากภพภูมิเดิมที่ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้ตลอดเวลา มีวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวันกลายร่างเป็นงูใหญ่จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไปเพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตัวนั้นผิดหวังมาก ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉานไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่น ๆบวชอีกเป็นอันขาดและก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถามอันตรายิกธรรมหรือข้อขัดข้องที่จะทําให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้รวม 13 ข้อเสียก่อน (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
ในจํานวน 13 ข้อนั้นมีข้อหนึ่งถามว่า “ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า” หรือ “มนุสโสสิ” ผู้ขอบวชต้องตอบว่า “อามะ ภันเต” และจึงเรียกการบวชนี้ว่า “บวชนาค” เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของนาคตัวนั้น
การแปลงตัวของนาคมาบวชในพระพุทธศาสนาจนพระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้บวช พญานาคจึงทูลขอให้กุลบุตรถ้าจะบวชก็ขอให้เรียกว่า บวชนาค ตนจะได้รับส่วนกุศลด้วย กระทั่งกายเป็นประเพณีตั้งแต่นั้นมา
นาคและครุฑทุกตัวไม่ใช่ว่าจะแปลงกายได้ต้องเป็นพวกระดับหัวหน้ามีฤทธานุภาพสั่งสมบารมีมาไม่รู้กี่ล้านปีทําสิ่งที่สัตว์เดรัจฉานไม่สามารถทําได้คือทําบุญในขณะที่เกิดเป็นคนทําบุญง่ายมากอยู่บ้านสวดมนต์เดินไปหน้าปากซอยไปวัดก็ทําได้แล้ว (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
ในความเชื่อของวัฒนธรรมร่วมไทย-ลาว มีการนับถือนาคในลักษณะเป็นเทพแห่งน้ำ และเชื่อว่าในแม่น้ำโขงนั้นมีนาคอาศัยอยู่ ตามตำนาน สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มีพิษจากพิษที่นาคได้คายทิ้งไว้ นอกจากนี้ในความเชื่อของไทยได้เชื่อมโยงกับศาสนาพุทธในเรื่องกำเนิดของพญานาคที่มีหลายลักษณะ ซึ่งตามที่ปรากฏในแนวทางของพระพุทธศาสนา มี 4 ลักษณะคือ (1) แบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที (2) แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักมม (3) แบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์ และ (4) แบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่ ส่วนตระกูลของนาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ (1) ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง (2) ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว (3) ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง และ (4) ตระกูลกัณหาโคตรมะ พญานาคตระกูลสีดำ
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อกันว่า แม่น้ำโขงเกิดจากการไถลตัวของพญานาค 2 ตน จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน และยังมีตำนานกล่าวถึงบั้งไฟพญานาค ว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พญานาคแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงทำบั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าจนกลายเป็นประเพณีทุกปี
ครุฑในไตรภูมิ
ในไตรภูมิ ครุฑมีวิมานอยู่ที่เชิงเขาพระสุเมนนามว่าวิมานฉิมพลี ส่วนนาคอาศัยในแหล่งน้ำที่ไหลลงมาจากเขาพระสุเมรุและอาศัยอยู่ในเมืองบาดาลส่วนที่เป็นน้ำล้อมรอบเขาพระสุเมรุเป็นผู้ปกป้องดูแลเขาพระสุเมรุที่อยู่ขององค์มหาเทพ และเหล่าเทวดาไม่ให้มารภูผีมารบกวน เรื่องของเขาพระสุเมรุนี้ เมื่อนำเข้ามาสู่วัฒนธรรมไทย ได้นำมาใช้เกี่ยวกับงานประณีตศิลป์ และงานสถาปัตยกรรมตามลัทธิความเชื่อ ได้แก่ การสร้างบุษบก มณฑป พระราชบัลลังก์ เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นที่สถิตของสิ่งควรเคารพบูชา ได้แก่ พระพุทธรูป พระธรรม หรืแม้แต่พระสงฆ์ผู้แสดงธรรม ตลอดจนองค์พระมหากษัตริย์
เรื่องราวของพุทธประวัติและวรรณกรรมเหล่านี้ช่างศิลป์ไทยแต่โบราณจึงนำมาประกอบกับจินตนาการแล้วสร้างสรรค์งานศิลปกรรมในลักษณะต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนงานที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และประณีตศิลป์

การเขียนภาพนาค
คติความเชื่อของชาวไทยตามพระพุทธศาสนาเชื่อว่าพญานาคนั้นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่แม่น้ำโขงและแหล่งน้ำทั่วไป บั้งไฟของชาวอีสานที่ทํากันในงานประเพณีเดือนหกก็ยังทําเป็นลวดลายและเป็นรูปพญานาค เพื่อพญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกพญาแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมาตามความเชื่อของคนอีสาน (จินต์ชญา, ม.ป.ป.)
นาคหรือพญานาคเป็นนามเรียกสัตว์ประดิษฐ์ลักษณะหนึ่งของศิลปะไทย ตามความหมายนี้ หมายถึงงูมีหงอนชนิดหนึ่งในวรรณคดีกล่าวว่ามีอิทธิฤทธิ์ อาศัยในเมืองบาดาลใต้พื้นดิน ช่างศิลปะไทยแต่โบราณท่านได้จินตนาการคิดเป็นแบบอย่างในหลายชนิด เป็นเครื่องประดับตกต่างในทางสถาปัตยกรรมไทยได้งดงามยิ่งของหน้าบัน คันทวย ฯลฯ
นาคในงานศิลปะในประติมากรรมไทยและลาว มักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ เช่น ที่พบในการสร้าง นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ซึ่งเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ หรือคันทวยรูปพญานาค และแม้แต่ในโขนเรือ (หัวเรือ) ของเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ ในขบวนเรือกระบวนพยุหยาตราชลมารค เป็นต้น

รูปแบบของพญานาคนำมาเป็นศิลปะประดิษฐ์ตกต่างได้หลายอย่าง เช่น เป็นหัวราชรถต่าง ๆ งอนรถ หัวโขนเรือพระที่นั่ง ได้แก่ เรื่องพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์บรรทมในเกษียรสมุทร เป็นหัวศรและลูกศร เช่น ศรนาคบาศ เป็นเชือกชักตอนกวนน้ำอมฤต เป็นสังวาลของพระอิศวร
การเขียนภาพพญานาคนี้ เขียนได้ทั้งหุบปากและอ้าปาก ส่วนหัวมีการเขียนที่ส่วนปากมีฟัน เขี้ยว จมุก ไพรปาก มีหนวด เคราล้อมตามปาก ส่วนที่เป็นแก้มมีลายประกอบเป็นครึ่งวงกลม หรือคล้ายผลชำมะเลียง ตาก็มีลักณะกระจังใบเทศ ส่วนที่เป็นหงอนก็เขียนเป็นรูปกระหนก เปลว ใต้คอลงมามีมาลัยรัดและช่อกระหนกเปลว ลำตัวมีวลัยรัดเป็นเปลาะๆ พองาม หางนาคเป็นหางงูธรรมดา บางทีถ้าเป็นส่วนหางของราชรถที่เป็นแกะไม้ก็แก่สลักเป็นหลายกระหนกครึ่งซีกเช่นเดียวกับส่วนที่เป็นหงอน ตามตัวเป็นเกล็ดเช่นเดียวกับเกล็ดงู (รูปสี่เหลี่ยมมน ๆ) เส้นหน้าท้องเวลาเลื้อยเป็นปล้อง ๆ สันหลังเป็นลายรักร้อย
นอกจากนี้ยังประดิษฐ์อยู่ในลักษณะเครื่องตกแต่งในทางสถาปัตยกรรมไทย อยู่ในส่วนของราวบันได หัวนาคก็ดี ซุ้มประตูหน้าต่าง ในรูปของหางหงส์ นาคเบือน นาคปัก นาคสะดุ้ง นาคลำลอง นาครวย คันทาวย เป็นต้น
การให้สีตัวเป็นสีเขียวเข้ม เครื่องประดับเงินทางอ แต่บางทีก็อาจให้เป็นสีอื่นก็ได้มิจำกัด นอกจากนี้ ยังมีการเขียนพญานาครูปร่างเป็นคนทั้งภาพ สวมมงกุฏยอดนาค ดังที่ปรากฏในจิตรกรรมเล่าเรื่องรามเกียรติ์ประดับฝาผนังพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือจิตรกรรมฝาผนังที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนาคร รวมทั้งเรื่องราวในพุทธประวัติตามพุทธสถานต่าง ๆ
ความสัมพันธ์ของครุฑและนาคกับใบระกาและหน้าบัน
ชาวไทยผูกพันและพบเห็นเรื่องของครุฑและนาคมาโดยตลอด โดยเฉพาะชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ที่เมื่อวัยเด็กญาติผู้ใหญ่พาเข้าวัดทำบุญ ก็จะพบกับภาพโบสถ์ วิหาร แม้แต่กุฏิพระสงฆ์ สิ่งเหล่านี้นอกจากเป็นที่ประกอบพิธีกรรมและเป็นที่อยู่ของพระสงฆ์แล้ว ยังได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับครุฑและนาคมาใกล้ชิดประชาชนด้วย
ชาวฮินดูนับถือพญาครุฑ เชื่อในพลังอำนาจว่าเหนือกว่างู และเชื่อว่า ถ้าออกนามพญาครุฑซ้ำ ๆ กัน 3 ครั้งก่อนเข้านอนตอนกลางคืนแล้วจะปลอดภัยจากงูทั้หลาย ตามคติของไทยเชื่อว่าพญาครุฑคู่กับพระนารายณ์ ด้วยเหตุนี้ ภาพเขียนและภาพแกะสลักทั่วไปจึงเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ และเมื่อทำภาพครุฑก็มักจะต้องทำรูปนาคด้วย เพราะถือเป็นของคู่กัน หรือเป็นศัตรูกัน เมื่อพญาครุฑขอพรพระอินทร์ก็ขอนาคเป็นอาหาร และพระอินทร์ก็ตกลงตามที่ขอ พญาครุฑจึงกินพวกนาคเป็นอาหารอย่างเดียว (ส.พลายน้อย, 2554, หน้า 42)

ครุฑมีที่อยู่อาศัยในชั้นสองของเขาพระสุเมรุ ซึ่งเขาพระสุเมรุมี 5 ชั้น ชั้นแรกต่ำสุดต่อกับมหาสมุทรให้พวกนาคอยู่ ถัดขึ้นไปเป็นชั้นที่สองพวกครุฑอยู่ ชั้นที่สามพวกกุมภัณฑ์ ชั้นที่สี่พวกยักษ์ และชั้นที่ห้าท้าวจาตุมหาราช (ส.พลายน้อย, 2554, หน้า 52)
ชาวไทยรู้เรื่องของครุฑมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยมีรูปครุฑเป็นเครื่องประดับตามปูชนียสถานต่าง ๆ ส่วนการนำรูปครุฑมาใช้เป็นสัญลักษณ์ทางราชการในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นเข้าใจว่าจะเริ่มด้วยพระราชลัญจกรนารายณ์ทรงสุบรรณก่อน (ส.พลายน้อย, 2554, หน้า 66)
ใบระกา ชื่อ ตัวไม้หรือลวดลายปูนปั้น ลายปั้นดินเผา เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์เป็นครีบๆ ติดกับตัวรวยหรือตัวลำยองสำหรับประกอบช่อฟ้า หางหงส์หรือเหรา ติดที่จั่วหลังคา ตับหลังคา ปีกนกหลังคา ตะเข้หลังคา ซุ้มบันแถลง ซุ้มประตูหรือซุ้มหน้าต่าง ซึ่งเกี่ยวกับพระราชนิเวศมณเฑียรสถานและพุทธศิลป์
คำว่า “ใบระกา” นี้ ท่านโบราณาจารย์ได้ให้อรรถาธิบายไว้สายนัยด้วยกัน ทั้งนี้โดยอาศัยเทพนิยาย เทวกำเนิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันต่อมาทางประเทศไทยได้รับอิทธิพลของเทพนิยายนี้มาประดิษฐ์คิดขึ้นในรูปของสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งเป็นส่วนตกแต่งที่สง่างามเหมาะสม ทั้งส่วนสัดนับเป็นศิลปกรรมไทยที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง

เทพนิยายที่เกี่ยวกับเทวกำเนิดอันเป็นแนวความคิดให้ช่างแต่โบราณ ท่านนำมาประดิษฐ์ได้อย่างงดงามนี้ ได้แก่ ครุฑหรือพญาครุฑ (สุบรรณ) กับนาคหรือพญานาคอย่างหนึ่งและอีกอย่างหนึ่งได้แก่เหรา (เห-รา เท่ากับจรเขรวมกับนาค)
ช่างแต่โบราณท่านได้ให้ข้อคิดของครุฑจับนาคนี้เอามาประดิษฐ์เป็นเครื่องตกแต่งในทางสถาปัตยกรรมขึ้น ซึ่งปรากฏให้เห็นถึงความวิจิตรพิสดารยิ่งชิ้นหนึ่งในบรรดาศิลปกรรมไทย
ลักษณะของใบระกาที่ใช้ประกอบจั่วหลังคาตามนัยบารณ คือ
- ใบระกาที่เกี่ยวกับครุฑหรือพญาครุฑนั้น หมายถึง ขนปีกใต้ท้องแขนของครุฑ ส่วนตัวไม้ที่เรียกว่า “ช่อฟ้า” หมายถึง ส่วนหน้าและอกของพญาครุฑ
- ใบระกาที่เกี่ยวกับนาคหรือพญานาคนั้น หมายถึงครีบสันหลังของนาค (เตยหลังนาคก็เรียก) ส่วนที่เป็นหัวนาคเรียก “หางหงส์” หรือนาคเบือน
- ใบระกาที่เกี่ยวกับเหรา (เห-รา เท่ากับ จระเข้รวมกับนาค) นั้น หมายถึงครีบสันหลังของตัวเหรา คือสัตว์ที่ประดิษฐ์ปนกันสองชนิด ได้แก่ การนำเอาจระเข้ผสมปนกับนาค (งู) ทั้งนี้มิได้หมายถึงตัวเหราที่มีรูปร่างคล้ายแมลงดาทะเล แต่การใช้ใบระกาประกอบเหรานี้มักประดิษฐ์เป็นลวดลายได้ต่าง ๆ ตอนบนสุดเหนืออกไก่ก็ลดรูปช่อฟ้า คือ ไม่มีช่อฟ้า โดยกำหนดทรงในลักษณะของปั้นลมเรือนไทยโบราณ และปรากฏเหนือกรอบรูปภาพสำคัญก็มี
การเขียนใบระกานี้ ถ้าเกี่ยวกับช่อฟ้าอันหมายถึงพญาครุฑ ก็จะทำเป็นรูปลักษณ์เกือบจะกลมกลืนไปในแนวเดียวกัน ถ้าขาดการพิจารณาก็จะแยกไม่ออก บางทีก็ทำเป็นรูปลักษณะที่กลมกลืนกันเลยอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใบระกาที่เกี่ยวกับเหรานั้นมีลักษณะเฉพาะตัวคล้ายกับปั้นลมของเรือนไทยโบราณ เป็นแต่เพิ่มลวดลายในส่วนที่เป็นใบระกาเพื่อให้เข้ากับหัวเหราที่อยู่แทนที่หางสงส์
ความสัมพันธ์ของใบระกาที่เกี่ยวข้องระหว่างครุฑกับนาคหรือช่อฟ้ากับหางหงส์แต่บารณนั้น ท่านวงรูปจั่วไว้ 2 ชนิดด้วยกัน คือ
- วางเป็นรูปจั่วธรรมดา ทรงของจั่วเรียบ ๆ แต่ทำตัวไม้หรือปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบเป็นรูปอ่อนซ้อยทอดลงบนแปต่าง ๆ อันหมายถึงลำตัวของนาคอย่างเดียว เรียกว่า “นาครวย”
- วางเป็นรูปจั่วทรงพระภควัมเป็นเรือนรัศมีแล้วหาตัวไม้ให้เข้ารูปตัวรวยและตัวลำยอง คือรัศมีแต่ละอย่างให้รัดกุม รูปลักษณะชนิดที่สองนี้แสดงให้เห็นถึงครุฑใช้กำลังแขนอันกำยำจับนาค ฝ่ายนาคเมื่อภัยมาถึงก็ตกใจและหดลำตัวด้วยความกลัว เรียกกันว่า “ตัวลำยองหรือนาคสะดุ้ง” บางทีเรียกว่า “นาคลำยอง” มีการสร้างทั้งไม้และปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบเช่นเดียวกับชนิดที่หนึ่ง
ใบระกานี้ นอกจากมีลักษณะเป็นครีบ ๆ อย่างธรรมดาแล้ว อาจประดิษฐ์เป็นลวดลายได้หลายแบบคล้ายกับลายแข้งสิงห์หรือลายอื่น ๆ ที่ใช้ได้ ที่สำคัญต้องมีความสัมพันธ์กันกับหางหงส์หรือเหราควบอยู่ด้วยจึงจะเรียกว่า “ใบระกา” แต่ถ้าเขียนขึ้นลอย ๆ ก็จะกลายเป็นชื่อลายอื่นไป
อาจพบเห็นใบระกาที่เป็นส่วนประกอบของซุ้มจั่วทรงวิมาน (รูปจั่วทรงสูง คล้ายปั้นลมเรือยไทยโบราณแต่ทรงกรวดเก่า) มักประดิษฐ์เป็นลวดลายต่างๆ คล้ายกับลายแข้งสิงห์แต่ลดรูปช่องฟ้าและหางหงส์ก็มี เช่นเดียวกับใบระกาประกอบเหรา เป็นแต่ทรงสูงกว่าส่วนมากมักปรากฏเป็นภาพเขียน (จิตรกรรมฝาผนังหนือลายรดน้ำ) จะมีที่เป็นแกะสลักไม้ลงรักปิดทองอยู่บ้าง เช่น วิมานประดิษฐานพระสยามเทวาธิราช ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระบรมมหาราชวัง เป็นต้น เฉพาะใบระกาที่เป็นส่วนประกอบของซุ้มจั่วทรงวิมานี้ เป็นอีกนัยหนึ่งต่างหากพิเศษออกไปจากสามนัยข้างต้น

ในปัจจุบันการวางรูปทรงของจั่วที่มีแต่โบระกาและหางหงส์ โดยลดรูปช่อฟ้า (ไม่มีช่อฟ้า) ก็มี เช่นวางเป็นทรงบัวเจิม อย่างที่ปรากฏตามอาคารทรงไทยที่ว่าการกระทรวงต่าง ๆ ตามแนวถนนราชดำเนินนอก เป็นต้น
การสร้างใบระกาประกอบช่อฟ้าและหางหงส์ เหรา หรือประกอบซุ้มจั่วทรงวิมานนั้นมีด้วยกัน 3 ประการ คือ
- ถ้าสร้างด้วยไม้มักจะประดับกระจกสีต่าง ๆ หรือลงรักปิดทองบางทีก็ทาสีแด’
- ถ้าสร้างด้วยดินเผามักจะลงรักปิดทองแล้วประดับกระจกเป็นแวว
- ถ้าสร้างด้วยปูนปั้นมักจะประดับด้วยกระเบื้องเคลือบหรือทาสีน้ำปูน (สีขาว) ปัจจุบันอาจทาสีต่าง ๆ