วัดระหานเกาะแก้วธุดงสถาน
ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน เป็นสถานที่สงบร่มรื่น และมีนกยูงอาศัยอยู่จำนวนมาก เหมาะสำหรับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการไปกราบไหว้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ทำบุญและปฏิบัติธรรม
ภายในวัดประดิษฐานพระมหาธาตุรัตนเจดีย์ เพื่อเป็นปูชนียสถานระลึกถึงองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ลักษณะขององค์พระมหาเจดีย์ เป็นศิลปะประยุกต์ร่วมสมัยความสูง ๖๐ เมตร มี ๔ ชั้น ชั้นที่ ๑ ใช้ประโยชน์เป็นศาลาอเนกประสงค์ ชั้นที่ ๒ เป็นสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ชั้นที่ ๓ เป็นอุโบสถ พิพิธภัณฑ์และที่ประดิษฐาน รูปเหมือนของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชั้นที่ ๔ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งสมเด็จพระสังฆนายกฝ่ายสยามวงศ์ และพระอัครมหาบัณฑิต วิมละรัตนะ เจ้าอาวาสวัดศรีเวฬุวนาราม ประเทศศรีลังกา ได้ประทานพระบรมสารีริกธาตุและหน่อพระศรีมหาโพธิ์ แก่พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ) เมื่อปี ๒๕๔๗ ส่วนต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้ปลูกไว้ ด้านหลังพระมหาธาตุรัตนเจดีย์ภายในวัดเกาะแก้วธุดงคสถาน เป็นสถานที่สงบร่มรื่น และมีนกยูงอาศัยอยู่จำนวนมาก เหมาะสำหรับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการไปกราบไหว้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ทำบุญและปฏิบัติธรรม
ในปี พ.ศ. 2536 หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ ได้มาสร้างวัดเกาะแก้วธุดงสถาน ณ บ้านระหาร ตำบลบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์
คำว่า “เกาะแก้ว” หลวงปู่เล่าว่า “ได้เคยไปนอนเฝ้านากับโยมพ่อ ซึ่งที่นาอยู่ในบริเวณวัดแห่งนี้ มีป่าต้นยางสูงเต็มไปหมด ถ้าวันไหนตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ จะปรากฏดวงไฟสว่าง มีสีนวลเท่าลูกมะพร้าวลอยขึ้นไปจากดงไม้ยาง คือบริเวณที่เป็นเกาะในปัจจุบันนี้ จะลอยไปทางทิศตะวันตกแล้วหายลับไปในบริเวณป่ายาง หลังจากนั้นในคืนวันแรม 14 ค่ำ จะเห็นดวงไฟลักษณะเช่นเดิม ลอยกลับมาในที่เดิม เมื่อมาถึงยอดยางก็จะแตกกระจายหายลับไป ชาวบ้านจึงเรียกขานบริเวณนี้ว่า “เกาะแก้ว” อันเป็นที่มาของนามสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้
ปัจจุบัน วัดแห่งนี้ถือว่าเป็นวัดที่เพียบพร้อมไปด้วยถาวรวัตถุมากมาย เป็นที่สัปปายะแก่พระภิกษุสามเณรที่มาพำนักเพื่อปฏิบัติธรรม และเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลของสาธุชนทั้งหลาย อีกทั้งหลวงปู่ได้มีดำริให้สร้างพระมหาธาตุเจดีย์ บุรีรมณียสถาน เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีรักธาตุ
พระมหาธาตุเจดีย์ ศรีบุรีรัมย์
พุทธเจดีย์เป็นสิ่งสักการะแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ ได้มีปรารภให้มีการสร้างขึ้นมา โดยมีเจตนารมย์ให้เป็นพุทธเจดีย์ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ที่ยังไม่มีพระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเลย และเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้มีโอกาสมากราบสักการะบูชา เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งการระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หลวงปู่และผู้ที่มีส่วนแห่งบุญทุกคนได้ร่วมกันสร้างพระมหาเจดีย์นี้ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการบำเพ็ญบารมีในพระศาสนาขององค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ อันเป็นเครื่องยืนยันถึงศรัทธาสาธุชนที่พร้อมเพรียงกันของคนยุคสมัย 2548 เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป
ประโยชน์ของการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์
1. เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2. เพื่อประดิษฐานรูปเหมือนของพระอริยสงฆ์ทั้งหลายมีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม หลวงปู่เทศน์ เทสรังสี หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
3. เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
การก่อสร้างพระมหาเจดีย์
1. ลักษณะองค์พระมหาเจดีย์ เป็นปฏิมากรรมขนาดใหญ่แบบศิลปประยุกต์ร่วมสมัย มีส่วนผสมของศิลปะขอม เพราะสถานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ อันมีเขาพนมรุ้งเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัด
2. ขนาดองค์เจดีย์ บนเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ โดยฐานของพระเจดีย์มีขนาด 31.70 x 31.70 เมตร ความสูงขององค์พรเจดีย์ โดยวัดจากพื้นถึงปรางค์ยอดสุด 51 เมตร
3. งบประมาณในการก่อสร้าง ประมาณ 30 ล้านบาท นับตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง (30 พฤษภาคม 2546)
4. ระยะเวลาในการก่อสร้าง เริ่มลงมือก่อสร้างพระเจดีย์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2546 จนถึงปี 2549
การใช้ประโยชน์พระมหาเจดีย์
ชั้น 5 (ชั้นบนสุด) เป็นชั้น “พุทธรัตน” เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ชั้น 4 เป็นชั้น “ธัมมรัตนะ” เพื่อบรรจุพระไตรปิฎกธรรถกถา ฎีกา และเอกสารพระธรรมคัมภีร์ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และเป็นพิพิธภัณฑ์
ชั้นที่ 3 เป็นชั้น “อุโบสถ” เพื่อกระทำสังฆกรรมตามพุทธบัญญัติ
ชั้นที่ 2 เป็นชั้น “สังฆรัตนะ” เพื่อประดิษฐานรูปเหมือนของพระสาวกสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ชั้นที่ 1 เป็นชั้น สำหรับทำวิปัสสนากรรมฐานของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ) ท่านมีนามเดิมว่า จันทร์ นามสกุล ร้อยตะคุ เกิดเมื่อวันจันทร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๕ เวลาเย็น ณ บ้านปะหลาน ตำบลปะหลาน อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ท่านมีพี่น้องรวมทั้งสิ้น ๘ คน ประกอบด้วย
๑. นายคำมี (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๒. นางมาลี
๓. นายมะลิ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
๔. นางมะดี
๕. พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ)
๖. นางหนู
๗. นายสุข
๘. นายแดง
เดิมทีนั้น ครอบครัวของหลวงปู่ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ มีถิ่นฐานทำกินอยู่ที่บ้านตะคุ ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้า ซึ่งตามภาษาอีสาน เรียกขานกันว่า “นายฮ้อย” อันเป็นที่มาของนามสกุลว่า ฮ้อยตะคุ (เรียกตามภาษาท้องถิ่นอีสาน) หรือร้อยตะคุ นั่นเอง ต่อมาโยมบิดาของท่านได้อพยพโยกย้ายครอบครัวไปทำมาหากินอยู่ที่บ้านปะหลาน อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งหลวงปู่ได้ถือกำเนิด ณ หมู่บ้านแห่งนี้
ต่อมาบิดาของท่าน ก็ได้โยกย้ายครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง ไปทำมาหากิน ณ บ้านระหาร ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งวัดเกาะแก้วธุดงคสถานในปัจจุบันนี้ หลังจากที่ได้ไปสำรวจมาแล้วเห็นว่ามีชัยภูมิเหมาะสมแก่การตั้งถิ่งฐานบ้านใหม่ เพราะเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงได้ตัดสินใจมาลงหลักปักฐาน ณ สถานที่แห่งนี้ การอพยพโยกย้ายก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากการเดินทางในสมัยนั้นต้องใช้เกวียนเป็นพาหนะ ต้องบุกบั่นฟันฝ่าป่าลึก เผชิญกับอันตรายจากไข้ป่าและสัตว์ร้ายทั้งหลาย
ในวัยเด็ก หลวงปู่ท่านเล่าว่า “บิดามารดา เป็นชาวนาชาวไร่ ทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งชาวนาไทยเรานั้นถึงจะลำบากยากไร้แค่ไหนก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนจนเกินไป อันความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านั้น ใคร ๆ ก็ไม่อยากได้รับ แต่ชาวนาจะหลบหลีกได้หรือ ก็ต้องอดทนจนกลายเป็นความเคยชินนั่นแหละ ก็อย่างญาติโยมชาวกรุงเทพฯ ที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี ๔ อาบน้ำแต่งตัว ทานกาแฟพอรองท้อง ก็ต้องขับรถออกไปทำงาน ถ้าออกสายรถก็ติด บางรายถึงกับต้องเอาเสบียงอาหารติดรถไปด้วย เมื่อไปถึงที่ทำงานก็ทานอาหารเสร็จแล้วแรงฟันอีกที เสร็จพิธีก็ทำงานกับหมู่คณะได้ ชาวนาก็เช่นเดียวกัน ทำงานเหนื่อยก็ต้องอาศัยร่มไม้ใบเงา หายเหนื่อยก็ทำงานต่อไป”
◎ พบพระธุดงค์กรรมฐาน
สมัยนั้น หนุ่มๆ ทั้งหลาย ชอบเรียนคาถาอาคมไว้เพื่อป้องกันตัวเพราะมีความเชื่อในเรื่อง ไสยศาสตร์ว่า เป็นสิ่งที่ทำให้อยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาดจา อุปัทวันตรายทั้งหลายได้ โยมแม่ซึ่งมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้สั่งลูกชายให้ไปเรียนคาถาอาคมกับพระอาจารย์บุญหนัก เกสโว พระธุดงค์กรรมฐานศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (ศิษย์ร่วมรุ่นกับหลวงปู่คำดี ปภาโส แห่งวัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย) ซึ่งท่านได้จาริกธุดงค์ผ่านมาจำพรรษาในละแวกนั้นพอดี หลวงปู่ได้เล่าถึงความศรัทธาของโยมแม่ ที่มีต่อพระศาสนาว่า “โยมแม่นี่ เป็นคนที่มีความศรัทธาในพระสงฆ์เป็นอันมากท่านทำบุญทำทานในแต่ละครั้งนี่นะเหมือนกับจัดงาน เวลาไปทำบุญที่วัด ท่านไม่ทำปิ่นโตหรอก ท่านหาบไปทำบุญเลยทีเดียว ข้าวต่างหาก อาหารคาวต่างหาก ของหวานต่างหาก พระเณรที่มาอยู่ในป่าช้าไม่ต้องเดือดร้อยเลย เลี้ยงพระแล้วก็เลี้ยงคนที่มาทำบุญได้กินอิ่มหนำสำราญกันอีก ท่านเลื่อมใสพระกรรมฐานมากที่สุด เชื่อคำสอนท่านจะได้ไปสวรรค์ ท่านจึงรีบเร่งตักตวงเพื่อจะได้ไปสวรรค์ให้ได้”
การเรียนคาถาอาคมนั้น จะต้องไปพักค้างแรมอยู่กับพระอาจารย์บุญหนัก ท่านมีโอกาสได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน ทำความสะอาดสถานที่อยู่อาศัย ตอนเช้าพระอาจารย์ออกบิณฑบาต หลวงปู่ซึ่งขณะนั้นเป็นปะขาว ก็เดินตามคอยรับอาหารบิณฑบาตที่ญาติโยมใส่มา ตอนเย็นท่านอาจารย์ก็เรียกมาสอนคาถาโดยให้ท่องตามที่ท่านบอก ซึ่งการให้ท่องคาถาอาคมนี้ จะเป็นอุบายการสอนของครูบาอาจารย์สมัยก่อน ที่ท่านฉลาดสอนภาวนาแก่ศิษย์ให้ถูกต้องตามลักษณะอุปนิสัย เพราะผู้ที่ชอบคาถาอาคมอยากให้คาถาอาคาขลังศักดิ์สิทธิ์ ก็จักขะมักเขม้นนั่งบริกรรมการบริกรรมนี้แหล่ะ เป็นเครื่องโน้มน้าวจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านวอกแวก และได้สมาธิเกิดความสงบโดยไม่รู้ตัว เรียบเหมือนการให้รางวัลเครื่องล่อใจแก่เด็ก เพื่อให้เขามีกำลังใจในการทำงานนั่นเอง เพราะคนที่ชอบคาถาอาคม จะมีลักษณะนิสัยเป็นคนหนักไปทางโทสะจริตและศรัทธาจริต
ถ้าให้นั่งบริกรรม พุทโธ อย่างเดียว หรือให้นั่งพิจารณากรรมฐานเลยทีเดียว จิตใจจะไม่มีหลักยึดเหนี่ยวพอจะทำให้เกิดเป็นสมาธิได้ ประกอบกับคนในสมัยนั้นมีความเชื่อในเรื่องคาถาอาคมเท่านั้น จึงจะเป็นที่ยอมรับนับถือว่ากล่าวสั่งสอนเขาได้ ถ้าไม่เอาอุบายเรื่องคาถาอาคมมาเป็นเครื่องล่อคงจะไม่มีใครสนใจมาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนา สมกับที่ท่านมุ่งหวังจะสอนเป็นแน่แท้ เพราะหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้น ถ้าเปรียบกับต้นไม้ซึ่งมีทั้งเปลือก แก่น และกระพี้ ธรรมะคำสอนก็ย่อมเหมาะกับบุคคลผู้มีอุปนิสัยหยาบ ละเอียดแตกต่างกันออกไป
เช้าวันหนึ่ง ในขณะที่หลวงปู่ได้เดินตามพระอาจารย์บุญหนักเข้าบิณฑบาตในหมู่บ้าน พระอาจารย์ชี้ให้ดูสาวๆ ที่กำลังเดินตามถนนผ่านมา ซึ่งแต่ละนางก็ล้วนแต่มีหน้าตาสวยสดงดงาม อรชอนอ้อนแอ้น ผิวขาวเรือนร่างช่างน่าทัสนาชี้ชวนให้หลงไหล ยิ่งนัก เพราะกำลังเจริญสู่วัยสาวทุกคน ยิ่งเสียงสนทนาพาทีของพวกเธอก็ยิ่งชวนเคลิบเคลิ้ม หวานไพเราะเสนาะโสต พอได้โอกาสเหมาะสม ท่านอาจารย์ได้ถามหลวงปู่ขึ้นว่า “เซียงจันทร์ เห็นสาวๆ พวกนั้นไหม ?” หลวงปู่ตอบว่า “เห็นครับ” ท่านถามต่ออีกว่า “สวยไหม ?” หลวงปู่ตอบว่า “สวยครับ”
หลังจากเดินไปได้อีกครู่หนึ่ง ก็มีคนแก่กลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาซึ่งแต่ละคนช่างดูน่าเวทนาอาดูรยิ่งนัก บ้างก็ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น หลังค่อม ดูการแต่งกายก็ซอมซ่อ เงอะๆ เงิ่นๆ กว่าจะเดินได้แต่ละเท้ากว่าจะก้าวได้แต่ละที ดูช่างลำบากเสียนี่กระไรเสียงคุยสนทนาก็แตกพร่านัยน์ตาก็มืดมัว พระอาจารย์ท่านได้พูดให้ข้อคิดว่า “ ต่อไป พวกสาวๆ ที่ว่างามเหล่านั้น ก็จักเป็นอย่างนั้น ”
พอท่านชี้ให้เห็นเฉกเช่นนั้นแล้ว ในใจหลวงปู่ได้แต่ตรึกตามอารมย์ที่บังเกิดเพราะเห็นความแตกต่างระหว่างคนสองวัย คนเราเกิดมาแล้ว ก็จักต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายด้วยกันทุกคน เรามัวแต่หลงวัย ลืมความจริงไปว่า เราเองก็จักต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
วันต่อมา ท่านพระอาจารย์ชี้ไปที่เรือนหลังงานใหญ่โตหลังหนึ่งแล้ว ถามว่า “เรือนหลังนั้นสวยไหม” หลวงปู่ท่านก็ตอบไปตามความคิดว่า “สวยครับ” ต่อมาท่านพระอาจารย์ก็ชี้ไปที่เรือนอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเก่าแก่ทรุดโทรมจะพังมิพังแหล่ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า “ต่อไปอีกไม่นาน เรือนหลังงามหลังนั้น ก็จะทรุดโทรมเหมือนเรือนหลังนี้” ท่านพระอาจารย์บุญหนัก ท่านใช้วิธีการสอนด้วยการยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วชี้ให้เห็นภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง หลังจากที่ได้พิจารณา ท่านใช้วิธีการสอนด้วยการยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วชี้ให้เห็นภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง หลังจากที่ได้พิจารณาไตร่ตรองตามแล้ว ก็ทำให้จิตใจของหลวงปู่เกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย เห็นแจ้งตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีสิ่งใดจะเป็นของเราสักอย่างเดียว ที่เรามัวเห็นว่าสวยงาม ว่าเป็นของๆ เราอยู่นั้นก็เพราะเรามีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นลุ่มหลงไปตากระแสแห่งอารมย์ที่เปลี่ยนไปทุกขณะจิต ด้วยอิทธิพลของกิเลสแท้ๆ
อนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศล ฉลองอายุครบ 83 ปี พระครูเขมคุณโสภณ (หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ) วัดเกาะแก้วธุดงสถาน จังหวัดบุรีรัมย์. (2548). กรุงเทพฯ:บริษัทศิลป์สยามบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์.
เขมสิริอนุสรณ์ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ วัดระหานเกาะแก้วธุดงสถาน อำเภอบ้านด้าน จังหวัดบุรีรัมย์. (2559). กรุงเทพฯ:บริษัทศิลป์สยามบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์.

