สถูปคู่ ผามอีแดง เขาพระวิหาร
ปราสาทพระวิหาร (Temple of Preah Vihear) เป็นปราสาทหินตามแบบศาสนาฮินดูที่ตั้งอยู่บริเวณทิวเขาพนมดงรัก (ภูเขาไม้คาน) สูงจากระดับทะเลปานกลาง 657 เมตร ที่ตั้งของศาสนสถานแห่งนี้รู้จักกันในนาม เขาพระวิหารปราสาทพระวิหารนั้นตั้งอยู่ในจังหวัดพระวิหารของประเทศกัมพูชาซึ่งอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษของประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นทางขึ้นสู่ปราสาทที่สะดวกที่สุด
ปราสาทพระวิหารมีสถาปัตยกรรมแบบเขมร สร้างตามแนวเหนือใต้ซึ่งผิดแปลกไปจากปราสาทขอมส่วนใหญ่ ไทยและกัมพูชามีประวัติพิพาทเหนือตัวปราสาทเป็นเวลานานแล้ว ใน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาท และวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในประเทศกัมพูชา


พระเจ้าสูรยวรทันที่ 1 (พ.ศ. 1545-1593) และบางส่วนได้ถูกปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในรัชกาลของพระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1656-1693) ดังนั้นศิลปกรรมส่วนใหญ่ของปราสาทแห่งนี้จึงอยู่ในช่วงศิลปะบาปวน มีเฉพาะบางบริเวณเท่านั้นที่มีร่องรอยของศิลปะนครวัด ปราสาทพระวิหารประกอบด้วยหมู่เทวาลัยและปราสาทหินจำนวนมาก เทวาลัยหรือปราสาทหินแห่งแรกสร้างขึ้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซากปรักหักพังของเทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ครั้นเมื่อนครหลวงของอาณาจักรขอมอยู่ใกล้คือ ที่นครวัด นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบบางประการในรูปแบบศิลปะของปราสาทบันทายศรี ตามหลักจารึกที่ค้นพบ 3 หลักคือ จารึกศิวะศักติ จารึกหมายเลข K380 และ K381 เชื่อว่าเริ่มก่อสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1432-1443) ในฐานะ “ภวาลัย” ที่ทรงมอบแก่เจ้าเมืองที่ครองพื้นที่ในแถบนั้น ซึ่งอยู่ในตระกูล “พระนางกัมพูชาลักษมี” พระมเหสีของพระองค์ และเป็นรูปร่างเมื่อในสมัยพระเจ้ายโศวรมัน ซึ่งสถาปนาศรีศิขเรศวร ในปี พ.ศ. 1436 แต่โครงสร้างส่วนใหญ่ของปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (มีพระนามจารึกที่กรอบประตูโคปุระชั้นที่ 2 ว่า “สูรยวรรมเทวะ” และปีที่สร้างแล้วเสร็จในสมัยของพระองค์ตามจารึกคือ พ.ศ. 1581) และพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 11 และคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตามลำดับ ตามจารึกกล่าวไว้ว่าพระองค์ส่ง“ทิวากรบัณฑิต” มาบวงสรวงพระศิวะทุกปี นอกจากนี้ยังมีชุมชนโดยรอบที่กษัตริย์อุทิศไว้ให้รับใช้เทวสถาน ชุมชนที่มีชื่อในจารึกอย่างเช่น กุรุเกษตร, พะนุรทะนง เป็นต้น

ผามออีแดง ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นหน้าผาสูงชันกั้นเขตแดนประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา ตลอดแนวผามออีแดงมีระยะทางประมาร 300 เมตร เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพของแผ่นดินประเมสกัมพูชาที่อยู่ต่ำลงไปเป็นมุมกว้าง การเดินทางไปผามออีแดง มีเส้นทางรถยนต์เข้าถึง เป็นสถานที่รองรับนักท่องเที่ยวในทุกฤดูกาล มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการนำเที่ยวผามออีแดง


ผามออีแดง ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันกั้นเขตแดนประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา ผามออีแดงขึ้นชื่อในเรื่องจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของภาคอีสาน ทั้งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกในยามเช้า บริเวณผามออีแดงมีภาพแกะสลักนูนต่ำโบราณอายุกว่า 1,500 ปี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนปราสาทเขาพระวิหาร ราวกลางศตวรรษที่ 11
สถูปคู่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าพระธาตุ ทางทิศตะวันตกของผามออีแดง เป็นสถูปหินทราย 2 องค์ ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ มียอดมนคล้ายตะปูหัวเห็ด ข้างในเป็นโพรงใช้สำหรับบรรจุสิ่งของในสมัยโบราณ หน้ากว้าง 1.93 เมตร สูง 4.20 เมตร ยอดมนคล้ายตะปูหัวเห็ด ข้างในเป็นโพรงบรรจุสิ่งของ ก่อสร้างด้วยหินทรายเป็นท่อนที่ตัดและตกแต่งอีกที นับว่าแปลกจากศิลปวัฒนธรรมยุคอื่น


สถูปคู่ รูปทรงสีเหลี่ยม หลังคาบาตรคว่ำ สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะแบบบาปวน พบฐานโยนีและศิวลึงค์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิด นักวิชาการจึงสันนิษฐานว่า สถูปคู่น่าจะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ สถูปคู่ขนาดเล็กทั้ง 2 องค์ มีลักษณะเหมือนกัน วางเรียงตัวคู่กันในแนวทิศเหนือ-ใต้ ขนานกับแนวแกนหลักของปราสาทพระวิหาร (นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นบริวารของปราสาท) ตั้งอยู่บนลานหินกว้างทางทิศใต้ของผามออีแดง สถูปคู่นี้ก่อสร้างด้วยหินทราย ก้อนหินเรียบวางทับซ้อนกันได้สนิทอย่างประณีต รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนหลังคายอดมนสร้างจากแผ่นหินขนาดใหญ่เพียงชิ้นเดียวทั้งสองหลัง ตัวอาคารไม่มีประตูหรือหน้าต่าง แต่ภายหลังมีช่องใหญ่ เกิดจากการลักลอบขุดหาโบราณวัตถุ
นักโบราณคดีได้สำรวจภายในตัวสถูป เป็นห้องกลวง มีประดิษฐานรูปเคารพที่อาจะเป็นศิวลึงค์อยู่บนฐานโยนี ทำด้วยหินทรายอยู่ภายในอาคารทั้งสองหลัง แต่โบราณวัตถุดังกล่าวได้สูญหายไปแล้ว (สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเทวาลัย อุทิศถวายเทพในศาสนาฮินดู) เหลือแต่เพียงฐานรูปเคารพ 1 ชิ้นในสถูปองค์ทิศใต้เท่านั้น
ชาวบ้านที่นี่มีความเชื่อว่าหากใครมาขอพรให้แฟนรักแฟนหลง ก็จะได้สมความปรารถนา หรือใครยังไม่มีแฟนก็สามารถมาขอเนื้อคู่ได้จากสถูปคู่นี้ เป็นไฮไลฟ์ที่คู่รักไม่ควรพลาด

ตำนานเรื่องราวที่ฟังเเล้วยิ่งศรัทธาในรัก เมื่อหญิงสาวรูปงาม เกินหญิงอื่นทั่วไปเเละที่สำคัญนางมีหน้าอกที่ใหญ่ จนเป็นที่หมายปองของชายมากมาย รวมถึงกษัตริย์ขอมในสมัยนั้น จนกษัตริย์ขอมได้ให้ทหารไปนำตัวนางมา เเต่นางมีคู่รักอยู่เเล้ว เเละข่าวนี้ก็ได้ไปถึงหูคนรักของนาง วันชิงตัวคนรักของนางจึงเกณฑ์ชาวบ้านมาขัดขวางการนำตัวนางไป เเต่ได้ทุกทหารกองทัพฆ่าตาย เมื่อนางได้ข่าวว่าคนรักถูกฆ่าตาย เสียอกเสียใจ จนไม่ยอมตามทหารไป เเละไม่มีใครสามารถพานางไปได้ เหล่าทหารจึงนำหนังสัตว์มาวาดเป็นรูปนาง เเละรายงานให้ทางกษัตริย์ขอมได้ยลโฉม จนกษัตริย์ขอมทนไม่ได้ จึงต้องเสด็จมาหานางด้วยตัวเอง พอกษัตริย์ขอมมาถึง ก็ตกตะลึงในความงาม พร้อมอยากได้ไปเป็นพระมเหสี เเต่นางไม่ยอมพูดด้วย จนกษัตริย์ขอมต้องใจอ่อนถามนางว่า จะต้องทำยังไงนางถึงจะใจอ่อน
นางจึงออกอุบายว่าให้สร้าง ประสาทนวลให้เป็นสัญลักษณ์การจากไปของคนรักนางเเล้วนางจะยอมไปด้วย กษัตริย์ก็รีบสั่งทหารให้สร้างปราสาทโดยเร็ว พอปราสาทเสร็จคืนนั้น นางก็ตรอมใจตายเพื่อพลีชีพในความรักของนาง ทำให้กษัตริย์ขอมรู้สึกผิดอย่างมาก ที่เป็นคนพรากความรักของคนอื่นไป จึงให้คนเเกะสลักภาพนางไว้รอบๆของปราสาท เเละตั้งชื่อว่าปราสาทนวลตรวน

ส่วนสถูปคู่นั้น สันนิษฐานถูกสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าสุริยวรมะที่ 1 ช่วงเดียวกันกับที่สร้างปราสาทพระวิหาร ราวปี พ.ศ. 1561-1581 ถ้ามองกว้างๆ ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 16 สถูปด้านทิศใต้(หลังที่อยู่ฝั่งพระวิหาร) คงมีไว้สำหรับประดิษฐานรูปเทวรูปหรือประติมากรรมรูปเคารพเพราะเห็นมีแท่นวางประติมากรรมด้านใน ทรงแอ่นท้องไม้มีรูกลม จึงไม่ใช่ศิวลึงค์ สถูปด้านทิศเหนือ ผหลังที่อยู่ฝั่งผามออีแดง)พบแค่เศษก้อนหินทราย จึงยากที่จะบอกได้ว่าบรรจุสิ่งใด เเละเชื่อว่าหากใครได้ว่าขอพรสถูปคู่เเห่งนร้ก็จะสมหวังในรัก เเละหากใครสมหวังเเลิวก็จะทำให้เเฟนรักเเฟนหลงยิ่งขึ้นไปอีก