ปราสาทหินพนมรุ้ง

ปราสาทพนมรุ้งเป็นโบราณสถานันศิลปะขอมโบราณที่มีความงดงามและมีความสำคัญมาก ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้ง ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ในท้องที่ตำยบตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ 

ปราสาทพนมรุ้งเป็นศาสนสถานสร้างขึ้นเพื่อถวายแดงองค์พระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ปราสาทบนยอดเขาพนมรุ้งจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสอันเป็นที่ประทับของพระศิวะ และยังเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาลอีกด้วย ปราสาทแต่ละองค์บนยอดเขามีการก่อสร้างหลายยุคสมัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15-1

คำว่า “พนมรุ้ง” มาจากภาษาเขมร “วนรุง” แปลว่า ภูเขาอันกว้างใหญ่ โดยคำนี้ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกอักษรขอมซึ่งพบที่ปราสาทพนมรุ้ง ผู้สร้างปราสาทคือ “นเรนทราทิตย์” เชื้อสายราชวงศ์มหิธรปุระ ผู้เกี่ยวข้องเป็นพระญาติกับพระเจ้าสริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างปราสาทนครวัด

กรมศิลปากรได้ดำเนินการอนุรักษ์ปราสาทพนมรุ้งโดยประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทพนมรุ้งในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 และได้ดำเนินการบูรณะปราสาทระหว่าง พ.ศ.2514-2531 ต่อมาได้ประกาศขอบเขตโบราณสถาน เนื้อที่ 451 ไร่ 11 ตารางวา ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 93 ตอนที่ 141 วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2519 และกรมศิลปากรได้จัดตั้งโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ขึ้นและเปิดอย่างเป็ฯทางการเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2531 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประานในพิธีเปิด

บันไดต้นทาง

ตั้งอยู่บริเวณตระพักเขาด้านล่างทิศตะวันออก ก่อด้วยศิลาแลงเป็นชั้นๆ 3 ระดับ สุดบันไดขึ้นมาเป็นชาลารูปกากบาท ปูด้วยศิลาแง สันนิษฐานว่าเป็นฐานพลับพลาโถงสร้างด้วยไม้มุงกระเบื้อง

พลับพลาเปลื้องเครื่อง

เยื้องชาลารูปกากบาทไปทางทิศเหนือมีอาคารโถงรูสีเหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศใต้ บนฐานพลับพลามีเสาหิน 8 ต้น ด้านข้างของอาคารมีระเบียงลักษณะเป็นห้องแคบยาวต่อเนื่องกัน มีมุขยื่นออกมา มีชาลาสำหรับาขึ้นลงอยู่หน้ามุขรอบอาคาร 3 ด้าน อาคารนี้เดิมเรียกว่า “โรงช้างเผือก” แต่ในปัจจุบันเรียกว่า “พลับพลา” สันนิษฐานว่าเป็นพลับพลาเปลื้องเครื่องสำหรับกษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูงที่จะใช้เป็นสาถานที่เพื่อทำความบริสุทธิ์ให้แก่ตัวตน ก่อนจะเข้าสู่ภายในปราสาทประธานที่อยู่บนเขา

ทางดำเนิน

เป็นทางเดินที่ต่อลงมาจากชาลารูปกากบาททอดไปยังสะพานนาค ปูพื้นด้วยศิลาแลง ขอบเป็นหินทราย สองข้างทางมีเสาหินทรายยอดคล้ายดอกบัวตูมจำนวน 70 ต้น เรียกว่า “เสานางเรียง”

สะพานนาคราชชั้นที่ 1

เป็นจุดเชื่อมทางดำเนินกับบันไดทางขึ้นปราสาทแฃะทางลงสู่สระน้ำปากปล่องภูเขาไฟ ก่อด้วยหินทรายผังเป็นรูปกากบาทราวสะพานทำเป็นลำตัวของพญานาค 5 เศียรหันหน้าออกแผ่พังพานทั้ง 4 ทิศ พยานาคมีรัศมีเป็นแผ่นสลักลายในแนวนอน อันเป็นลักษณะศิลปกรรมแบบนครวัด อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 กลางสะพานสลักลายเส้นเป็นรูปดอกบัวบาน 8 กลีบ อาจหมายถึงทิศทั้งแปดแห่งจะักรวาล และเทพประจำทิศทั้งแปดในศาสนาฮินดูหรือเป็นยันต์สำหรับบวงสรวง สะพานนาคราชมีความหายเชิงสัญลักษณ์เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์

บันไดทางขึ้นปราสาท

ทางเดินขึ้นไปยังลานบนยอดเขา ทำเป็นบันไดหินทราบ มี 5 ชั้น ระหว่างบันไดแต่ละชั้นมีชานพักทั้งสองข้าง มีฐานหินทรายรูปกรวยเจาะรูตรงกลางติดตั้งอยู่ทุกชั้น

ลานหน้าปราสาท

จากชานบันไดชั้นที่ 5 เป็นลานโล่งกว้างอยู่ด้านหน้าระเบียงคต ลาดดังกล่าวตั้งอยู่บนฐานซึ่งบเกิดจากการถมปรับระดับพื้นที่ภูเขาเพื่อประโยชน์ใช้สอย ลักษณะเป็นยกพื้นเตี้ยๆ รูปกากบาทก่อด้วยศิลาแลง พังรูปกากบาทนี้ทำให้เกิดช่องทางเดินและช่องสี่เหลี่ยมคล้ายสระเล็กๆ 4 ช่อง

สะพานนาคราชชั้นที่ 2

สะพานนาคราชช่วงนี้มีผังและรูปแบบเหมือนกับสะพานนาคราชชั้นที่ 1 แต่มีขนาดย่อมกว่า ตรงกลางสะพานมีภาพสลักรูปดอกบัวบาน 8 กลีบเช่นเดียวกัน

ลานปราสาทและระเบียงชั้นนอก

ก่อนเข้าสู่ชั้นในสุดของปราสาทพนมรุ้ง มีระเบียงชั้นอกล้อมอยู่อีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันมองเห็นเป็นทางเดินโล่งยกพื้นเตี้ยๆ พื้นปูด้วยศิลาแลงและหินทราย สันนิษฐานว่าเดิมคงจะเป็นระเบียงโถึงหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง เพราะพบเศษกระเบื้องดินเผาจำนวนมาก

ซุ้มประตูและระเบียงชั้นใน

ก่อนถึงตัวปราสาทประธาน มีระเบียงคดล้อมเป็นกำแพงชั้นในก่อเป็นห้องยาวต่อเนื่องกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เพราะมีผนังกั้นเป็นช่วงๆ กึ่งกลางระเบียงคดมีซุ้มประตูหรือโคปุระทั้ง 4 ด้าน ผนังด้านนอกมีหน้าต่างหลอกทั้ง 4 ด้าน หน้าบันของระเบียงคดทิศตะวันออกเป็นภาพฤาษี สันนิษฐานว่า หมายถึงพระศิวะในปางผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บและอาจหมายรวมถึงนเรนทราทิตย์ผู้สร้างปราสาทพนมรุ้งแห่งนี้ด้วย

สะพานนาคราชชั้นที่ 3

สะพานนาคราชชั้นนี้เชื่อมระหว่างซุ้มประตูกลางของระเบียงคตชั้นในกับมณฑปหน้าปราสาทประธาน มีลักษณะเหมือนกับสะพานนาคราชชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2 แต่มีขนาดเล็กกว่า

ปราสาทประธาน

ศูนย์กลางศาสนสถาน สร้างด้วยศิลาทรายสีชมพูมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจนุรัสย่อเก็จ มีมุขยื่นออกมา 3 ด้าน

ด้านหน้าทิศตะวันออกมีห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เรียกว่า มณฑป ปราสาทประธานนี้เชื่อว่าสร้างโดยท่านนเรนทราทิตย์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 ภายในเรือนธานุมีห้อง “ครรภคฤหะ” เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่สำคัญที่สุด เชื่อว่าน่าจะเป็นศิวลึงค์ ซึ่งแทนองค์พระศิวะ ปัจจุบันเหลืออยู่เพีคยงท่อโสมสูตร คือร่องน้ำมนต์ที่ใช้รับน้ำสรงจากการสักการะศิวลึกค์

ปราสาทประธานตกแต่งลวดลายจำหลักประดับตามส่วนต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นภาพเล่าเรื่องเทพเจ้าในศาสนาฮินดู เช่นหน้าบันภาพศิวนาฏราช (พระศิวะทรงฟ้อนรำ) ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ภาพมหากาพย์รามายณะ (รามเกียรติ์) มหาภารตะ ภาพพิธีกรรม และภาพฤาษี เป็นต้น

ปราสาทอิฐ 2 หลัง

ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีฐานอาคารก่อด้วยอิฐอยู่ 2 หลัง สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 15 นับเป็นสถาปัตยกรรมที่มีอายุเก่าที่สุดบนเขาพนมรุ้ง

ปรางค์น้อย

ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสย่อมุม ก่อสร้างด้วยศิลาทรายบุผนังด้านในด้วยศิลาแลง มีประตูทางเข้าทางเดียวคือด้านทิศตะวันออก ภายในห้องมีแท่นฐานหินทรายสำหรับประดิษฐานรูปเคารพ หน้าบันด้านทิศตะวันออกสลักเป็นรูปพระกฤษณยกเขาโควรรธนะอยู่ท่ามกลางลวดลายพันธุ์พฤกษากำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16

บรรณาลัย

ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างด้วยศิลาแลง มีประตูทางเข้าด้านเดียว หลังคาทำเป็นรูปประทุนเรือ ภายในไม่พบรูปเคารพ อาคารลักษณะนี้ เรียกว่า บรรษณาลัย หมายถึงหอสมุดซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นสมัยสุดท้ายของการก่อสร้างปราสาทพนมรุ้ง

อาคารก่อด้วยศิลาแลง

ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างด้วยศิลาแลง มีประตูทางเข้าด้านทิศใต้เพียงด้านเดียว หลังคาชำรุดพังทลาย ภายในไม่มีรูปเคารพ ไม่ทราบประโยชน์ใช้สอยแน่นอน

ที่มา: จุลสารอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง. กรมศิลปากร