ร้อยเอ็ด-แดนทุ่งกุลา

สิบเอ็ดประตูเมืองงาม เรืองนามพระสูงใหญ่ ผ้าไหมสาเกต บุญผะเหวดประเพณี มหาเจดีย์ชัยมงคล งามน่ายลบึงพลาญชัย เขตกว้างไกลทุ่งกุลา โลกลือชาข้าวหอมมะลิ

จังหวัดร้อยเอ็ดตั้งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 512 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้น 8,299.46 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,187,156 ไร่ มีเขตแดนติดต่อกับจังหวัดอื่นดังนี้
     –  ทิศเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือ จรดจังหวัดกาฬสินธุ์
     –  ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จรดจังหวัดมุกดาหาร
     –  ทิศตะวันออก จรดจังหวัดยโสธร
     –  ทิศตะวันออกเฉียงใต้ จรด จังหวัดศรีสะเกษ
     –  ทิศใต้ จรดจังหวัดสุรินทร์
     –  ทิศตะวันตก จรดจังหวัดมหาสารคาม

ร้อยเอ็ด มีสถานที่ท่องเที่ยวจัดว่าเด็ดทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม วัดก็งาม ป่าก็สวย แถมยังมีน้ำตกที่งดงาม และที่สำคัญที่เที่ยวร้อยเด็ดโด่งดังในเรื่องวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สายบุญต้องห้ามพลาด คุณจะได้ท่องเที่ยวทำบุญกันได้ตลอดเส้นทาง มีหลายวัดที่น่าสนใจไม่แพ้ที่อื่นเลย ถ้าสายบุญคนไหนอยากขอพรไหว้พระ

“ร้อยเอ็ด” เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีประวัติความเป็นมายาวนานนับพันปี ชื่อเมือง “ร้อยเอ็ด” มีการตีความไปต่าง ๆ นานาว่าหมายถึงเมืองสิบเอ็ดประตู หรือหมายถึงเมืองร้อยเอ็ดประตูกันแน่ หนึ่งในบทความที่อธิบายที่มาของชื่อเมืองร้อยเอ็ดไว้คือ “เมืองร้อยเอ็ด (ประตู) หรือ-ทวารวดี แปลภาษาแขกเป็นลาว” โดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ตีพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 15 ฉบับที่ 7 พฤษภาคม 2537

เมืองร้อยเอ็ดนั้นมีชื่อเรียกเก่าอีกอย่างหนึ่งว่า “สาเกตนคร” หรือเมืองสาเกต ซึ่งก็คือชื่อของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ตามคติของอินเดีย ที่คนพื้นเมืองรับเอาเข้ามาพร้อมกับความเชื่อในศาสนา ทั้งพุทธ และทั้งพราหมณ์-ฮินดู

“ตำนานอุรังคธาตุ” ซึ่งก็คือตำนานของพระธาตุพนม อันเป็นพระธาตุสำคัญที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนา ในเขตพื้นที่วัฒนธรรมสองฝั่งโขง ที่มีเมืองร้อยเอ็ดเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในขอบข่ายของวัฒนธรรมดังกล่าว จะปรากฏชื่อ “สาเกตนคร” อยู่ด้วย

เมืองร้อยเอ็ดที่ปรากฏในตำนานอุรังคธาตุนั้นมีความว่า พญาติโคตรบูร ผู้เป็นกษัตริย์แห่งเมืองศรีโคตรบอง เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่เมืองแห่งนั้น สิ้นชีวิตลงเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานลงได้ 3 ปี แล้วไปเกิดเป็น “พญาสุริยวงศาสิทธิเดช” แห่ง “เมืองสาเกตนคร” เนื่องจากที่เคยทำบุญกับพระพุทธเจ้าจึงมีบารมีมาก พืชผลอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข และพระพุทธศาสนารุ่งเรือง

เจ้าเมืองต่างๆ ทั้ง “ร้อยเอ็ดเมือง” จึงพากันมาทำพิธี “พระราชมุรธาราชาภิเษกอดิเรกมงคล” ให้เป็นใหญ่เหนือพวกตน โดยได้ชื่อว่า “พญาสุริยวงศาสิทธิเดชธรรมิกราชาธิราชเอกราชเมืองร้อยเอ็ดปักตู” (ปักตูคือ ประตู)

… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichonweekly.com/column/article_766911

จากโบราณวัตถุที่มีคนพบที่เมืองนี้ ทำให้ทราบว่า ร้อยเอ็ด เป็นบ้านเมืองโบราณที่มีมาก่อนตั้งแต่สมัยทวารวดี คือมีอายุมากกว่า 1,000 ปีมาแล้ว

ร้อยเอ็ด มีตำนานพื้นบ้านว่า ชื่อร้อยเอ็ดนั้นเป็นชื่อโบราณของเมืองเก่าที่ตั้งตัวจังหวัด โดยมีชื่อเต็มว่า เมืองร้อยเอ็ดประตู เพราะเมืองโบราณที่มีร่องรอยให้เห็นอยู่บ้างนั้นมีประตูเมืองจำนวน 101 ประตู

เมืองอะไรจึงจะมีประตูมากมายเช่นนี้ถึง 101 ประตู ซึ่งเป็นไปไม่ได้ จึงได้มีการอธิบายจากผู้รู้บางท่านว่า ความจริงเมืองนี้มีเพียง 11 ประตูเท่านั้น แต่เนื่องจากการเขียนตัวเลขของคนอีสานและคนลาวแต่ก่อนที่เขียนว่า 101 นั้น ต้องอ่านว่า 10,1 คือสิบหนึ่งหรือสิบเอ็ด หาใช่อ่านว่าหนึ่งร้อยหนึ่งหรือหนึ่งร้อยเอ็ดไม่ แต่ต่อมาภายหลังคนไม่เข้าใจการเขียนการอ่านของคนในสมัยโบราณ จึงอ่านผิดไปเป็นหนึ่งร้อยเอ็ดหรือร้อยเอ็ด ด้วยเหตุนี้เมืองที่ควรจะชื่อว่า “เมืองสิบเอ็ดประตู” จึงกลายเป็น “เมืองร้อยเอ็ดประตู” 

… รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.silpa-mag.com/culture/article_104339

ตามตำนานเมืองเล่าว่า เกิดน้ำท่วมใหญ่ จนกระทั่งเมืองร้อยเอ็ดถล่ม  จนหายกลายเป็นเมืองร้าง ก็คงเหมือนสมัยน้ำท่วมโลกที่ปรากฏในคัมภีร์ไปเบิลครั้งโนอานั่นกระมังเมืองร้อยเอ็ดเลยร้างไปแต่ครั้งนั้นส่วนประวัติศาสตร์ใหม่ของ เมืองร้อยเอ็ด มาเริ่มอีกทีก็ในปีพ.ศ. 2256 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้งกระนั้นนครจำปาศักดิ์ อันเป็นเมืองใหญ่ทางใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบันยังเป็นเมืองประเทศราชของกรุงศรอยุธยา มีเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร เป็นเจ้าผู้ปกครองนครจำปาศักดิ์ ในบรรดาผู้ที่เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูล    เคารพนับถือ มีพระอาจารย์เก่าแก่ของพระองค์คนหนึ่งคือ พระอาจารย์แก้ว ซึ่งเคยมีบุญคุณกันมาเลี้ยงดูอุปการะเป็นอย่างดี เมื่อพระองค์มีอำนาจวาสนานับเป็นกตัญญูกตเวทีน่าสรรเสริญ ครั้งต่อมาในปี พ.ศ. 2261 เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้มอบไพร่พลให้พระอาจารย์แก้วประมาณสามพะนคร ไปหาที่สร้างเมืองขึ้นปกครอง พระอาจารย์แก้วจึงเดินทางข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาสู่แผ่นดินภาคอีสานปัจจุบัน ผ่านมาทางเขตเมืองอุบลราชธานี ยโสธรซึ่งสมัยนั้นยังเป็นแผ่นดินร้างว่างเปล่า จนกระทั่งถึงริมแม่น้ำเสียวในเขตบ้านทุ่ง ที่ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิของร้อยเอ็ด

ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ ณ กรุงศรีอยุธยา โปรด ฯ ให้พระยาพรหม และ พระยากรมท่า เดินทางไปจัดการบ้านเมืองแถบนี้ให้เรียบร้อย โดยมีท้าวเชียงและท้าวศูนย์ ร่วมมาในคราวนั้นพร้อมด้วยไพร่พลส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาข่าวหลายทั้งสองไปขอทัพจากกรุงศรีอยุธยารู้ถึงท้าวทน ก็รู้สึกแค้นในเป็นประมาณ แต่ก็ไม่อาจจะสู้ทัพกรุงศรีอยุธยาได้ พอกองทัพจวนจะมาถึงท้าวทนก็หนีออกจากเมืองทุ่ง ไปตั้งมั่นอยู่ที่บ้านกุดจอก หรือบ้านดงเมืองจอก หรือบ้านดงเมืองจอก ซึ่งอยู่ในในเขตอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบัน เมื่อพระยาพรหม พระยากรมท่า ท้าวเชียง และ ท้าวศูนย์มาถึงเมืองทุ่งก็เข้าได้โดยง่าย พระยาพรหม พระยากรมท่าได้ให้ท้าวเชียงขึ้นครองทุ่งและท้าวศูนย์เป็นอุปฮาด ก็นับว่าเป็นที่สมปรารถนาของท้าวเอทั้งสอง ด้วยเหตุนี้เอง อาณาเขตของเมืองทุ่งจึงตกอยู่ในขอบขัณฑสีมาของกรุงศรีอยุยา แทนที่จะขึ้นต่อนครจำปาศักดิ์เหมือนเดิม

ท้าวเชียงและท้าวศูนย์นั้น เห็นทีจะเป็นผุ้มีสติปัญญาอ่อนแอด้วยปรากฏว่า เมื่อขึ้นนั่งเมืองแล้ว ท้าวเชียงต้องไปอ้อนวอนขอโทษท้าวทนผู้เป็นอา ให้มาช่วยปกครองบ้านเมือง คล้ายๆกับเป็นที่ปรึกษาท้าวทนถึงจะโกธรหลายแต่ก็ทนอ้อนวอนไม่ไหว จึงมาช่วยปกครองเมืองสืบมา ในปี พ.ศ. 2315 ได้ย้ายที่ตั้งเมืองจากบ้านทุ่งไปตั้งที่บ้านดงช้างสาร ซึ่งอยู่ห่างจากที่ตั้งเมืองเดิมประมาณ 100 เส้น หรือ 4 กิโลเมตรเมื่อสร้างเมืองใหม่แล้วก็ให้ชื่อว่า เมืองสุวรรณภูมิ และนี่ก็คืออำเภอหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ดนั้นเอง
เหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2318
ท้าวทน ซึ่งมาช่วยหลานปกครองเมืองสุวรรณภูมิ ทนเหมือนชื่อต่อไปอีกไม่ไหว จึงชวนสมัครพรรคพวกที่ภักดีต่อตน พร้อมกับเทครัวอพยพออกจากเมืองสุวรรณภูมิ เดินทางมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือหวังไปตาบเอาดาบหน้า จนกระทั่งมาถึงบริเวณบ้านกุ่ม อันเคยเป็นที่ตั้งเมืองร้อยเอ็ดแต่โบราณ ซึ่งร้างไปเป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว ท้าวทนเห็นว่าบริเวณนี้เป็นชัยภูมิอันดี ควรจะตั้งเมืองใหม่ จึงหยุดพักไพร่พลสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้น ณ บริเวณเก่าของร้อยเอ็ดเจ็ดประตู

เมื่อสร้างเมืองขึ้นแล้ว ก็มีใบบอกมากราบบังทูลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ กรุงธรบุรี ของอยู่ในขอบขัณฑสีมาสืบไป ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดฯ ให้ท้าวทนเป็นพระขัติยะวงศาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองร้อยเอ็ดสืบมา นับปี พ.ศ.2318 นับมาถึงวันนี้ เมืองร้อยเอ็ดจึงมีอายุได้ 206 ปีแล้ว
พระขัติยะวงศา เจ้าเมืองคนแรกของร้อยเอ็ด ท่านเป็นคนเก่งบ้านเมืองจึงเจริญอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับเมืองสุวรรณภูมิที่มีแต่เสื่อมลงๆ ซึ่งปรากฏว่า เมื่อท้าวเชียงถึงแก่อนิจกรรมนั้น ท้าวศูนย์หาได้ขึ้นนั่งเมืองไม่ กลับกลายเป็นท้าวโล๊ะ บุตรชายของท้าวเชียงขึ้นครองเมืองแทน มีบรรดาศักดิ์เป็น พระรัตนวงษา อันเป็นบรรดาศักดิ์ของผู้ครองเมืองสุววรณภูมิต่อมาอีกหลายองค์ จนกระทั่ง รัชกาลที่ 5 ทรงจัดปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลนั้นปรากฏว่าเมืองสุวรรณ ถูกลดฐานะลงเป็นอำเภอขึ้นกับร้อยเอ็ด ความเจริญของสุวรรณภูมิจึงหมดลงเพียงแค่นี้ ส่วนร้อยเอ็ดก็เป็นเมืองใหญ่ จนกระทั่งเป็นจังหวัดในปัจจุบัน

ณ บ้านทุ่ง พระอาจารย์แก้วได้สร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นนั่นเสร็จแล้วก็ขึ้นปกครองบ้านเมืองอยู่ได้เพียง 2 ปี ก็ถึงอนิจกรรม เมื่อ ปี  พ.ศ. 2263 ดังนั้น เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร จึงโปรดฯ ให้ท้าวมืด บุตรชายคนโตของพระอาจารย์แก้ว เป็นเจ้าเมืองสืบต่อมา โดยมีท้าวทน น้องชายเป็นอุปฮาด
ประวัติเมืองร้อยเอ็ดเล่าว่า การที่บุตรชายคนโตของพระอาจารย์แก้วมีนามว่า ท้าวมืด นั้นก็เพราะเกิดในวันที่มีสุริยุปราคา ท้องฟ้ามืดมิดเหมือนกลางคืน ก็เลยตั้งชื่อบุตรชายว่า ท้าวมืดท้าวมืดปกครองบ้านทุ่งหรือเมืองสุวรรณภูมิอยู่นานถึง 43 ปี นับว่าอายุยืนยาว มาถึงอนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2306 พอท้าวมืดตายไปความยุ่งยากก็เกิดขึ้นที่เมืองสุวรรณภูมิ นับถือ บุตรชายสองคนของท้าวมืด คือ ท้าวเชียง และ ท้าวศูนย์ อยากจะขึ้นครองเมืองสุวรรณภูมิเสียงเอง แต่ท้าวทนซึ่งเป็นอาและเป็นอุปฮาดก็ไม่ฟังเสียงขึ้นครองเมืองสุวรรณภูมิต่อมา เป็นเหตุให้เท้าเชียงและท้าวศูนย์ไม่พอใจอย่างยิ่งจึงพากันหนีจากเมืองสุวรรณภูมิลงมาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยาของพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พร้อมกับของทัพไปตีเมืองสุวรรณภูมิ

ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ ณ กรุงศรีอยุธยา โปรด ฯ ให้พระยาพรหม และ พระยากรมท่า เดินทางไปจัดการบ้านเมืองแถบนี้ให้เรียบร้อย โดยมีท้าวเชียงและท้าวศูนย์ ร่วมมาในคราวนั้นพร้อมด้วยไพร่พลส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาข่าวหลายทั้งสองไปขอทัพจากกรุงศรีอยุธยารู้ถึงท้าวทน ก็รู้สึกแค้นในเป็นประมาณ แต่ก็ไม่อาจจะสู้ทัพกรุงศรีอยุธยาได้ พอกองทัพจวนจะมาถึงท้าวทนก็หนีออกจากเมืองทุ่ง ไปตั้งมั่นอยู่ที่บ้านกุดจอก หรือบ้านดงเมืองจอก หรือบ้านดงเมืองจอก ซึ่งอยู่ในในเขตอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบัน เมื่อพระยาพรหม พระยากรมท่า ท้าวเชียง และ ท้าวศูนย์มาถึงเมืองทุ่งก็เข้าได้โดยง่าย พระยาพรหม พระยากรมท่าได้ให้ท้าวเชียงขึ้นครองทุ่งและท้าวศูนย์เป็นอุปฮาด ก็นับว่าเป็นที่สมปรารถนาของท้าวเอทั้งสอง ด้วยเหตุนี้เอง อาณาเขตของเมืองทุ่งจึงตกอยู่ในขอบขัณฑสีมาของกรุงศรีอยุยา แทนที่จะขึ้นต่อนครจำปาศักดิ์เหมือนเดิม

ท้าวเชียงและท้าวศูนย์นั้น เห็นทีจะเป็นผุ้มีสติปัญญาอ่อนแอด้วยปรากฏว่า เมื่อขึ้นนั่งเมืองแล้ว ท้าวเชียงต้องไปอ้อนวอนขอโทษท้าวทนผู้เป็นอา ให้มาช่วยปกครองบ้านเมือง คล้ายๆกับเป็นที่ปรึกษาท้าวทนถึงจะโกธรหลายแต่ก็ทนอ้อนวอนไม่ไหว จึงมาช่วยปกครองเมืองสืบมา ในปี พ.ศ. 2315 ได้ย้ายที่ตั้งเมืองจากบ้านทุ่งไปตั้งที่บ้านดงช้างสาร ซึ่งอยู่ห่างจากที่ตั้งเมืองเดิมประมาณ 100 เส้น หรือ 4 กิโลเมตรเมื่อสร้างเมืองใหม่แล้วก็ให้ชื่อว่า เมืองสุวรรณภูมิ และนี่ก็คืออำเภอหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ดนั้นเอง
เหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2318
ท้าวทน ซึ่งมาช่วยหลานปกครองเมืองสุวรรณภูมิ ทนเหมือนชื่อต่อไปอีกไม่ไหว จึงชวนสมัครพรรคพวกที่ภักดีต่อตน พร้อมกับเทครัวอพยพออกจากเมืองสุวรรณภูมิ เดินทางมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือหวังไปตาบเอาดาบหน้า จนกระทั่งมาถึงบริเวณบ้านกุ่ม อันเคยเป็นที่ตั้งเมืองร้อยเอ็ดแต่โบราณ ซึ่งร้างไปเป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว ท้าวทนเห็นว่าบริเวณนี้เป็นชัยภูมิอันดี ควรจะตั้งเมืองใหม่ จึงหยุดพักไพร่พลสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้น ณ บริเวณเก่าของร้อยเอ็ดเจ็ดประตู
เมื่อสร้างเมืองขึ้นแล้ว ก็มีใบบอกมากราบบังทูลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ กรุงธรบุรี ของอยู่ในขอบขัณฑสีมาสืบไป ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดฯ ให้ท้าวทนเป็นพระขัติยะวงศาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองร้อยเอ็ดสืบมา นับปี พ.ศ.2318 นับมาถึงวันนี้ เมืองร้อยเอ็ดจึงมีอายุได้ 206 ปีแล้ว

พระขัติยะวงศา เจ้าเมืองคนแรกของร้อยเอ็ด ท่านเป็นคนเก่งบ้านเมืองจึงเจริญอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับเมืองสุวรรณภูมิที่มีแต่เสื่อมลงๆ ซึ่งปรากฏว่า เมื่อท้าวเชียงถึงแก่อนิจกรรมนั้น ท้าวศูนย์หาได้ขึ้นนั่งเมืองไม่ กลับกลายเป็นท้าวโล๊ะ บุตรชายของท้าวเชียงขึ้นครองเมืองแทน มีบรรดาศักดิ์เป็น พระรัตนวงษา อันเป็นบรรดาศักดิ์ของผู้ครองเมืองสุววรณภูมิต่อมาอีกหลายองค์ จนกระทั่ง รัชกาลที่ 5 ทรงจัดปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลนั้นปรากฏว่าเมืองสุวรรณ ถูกลดฐานะลงเป็นอำเภอขึ้นกับร้อยเอ็ด ความเจริญของสุวรรณภูมิจึงหมดลงเพียงแค่นี้ ส่วนร้อยเอ็ดก็เป็นเมืองใหญ่ จนกระทั่งเป็นจังหวัดในปัจจุบัน

ตำนานการสร้างเมืองบุรีรัมย์. สบายดีบุรีรัมย์, 2(15 กุมภาพันธ์ 2557), 28-29.
ปักหมุดเมืองไทย: วัดสุรินทร์ บุรีรัมย์. (ม.ป.ป.). สุรินทร์: บริษัทเอทีพีอาร์ เพอร์เฟคท์ จำกัด