กลุ่มปราสาทตาเหมือน
กลุ่มปราสาทตาเมือน ประกอบด้วยปราสาท 3 หลัง ได้แก่ ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธรม ตั้งอยู่ในเขตบ้านหนองคันนา ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
บริเวณที่ตั้งของโบราณสถานกลุ่มนี้ อยู่ในแนวเส้นทางโบราณที่เชื่อมต่อระหว่างชุมชนในประเทศกัมพูชากับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยผ่านทางช่องตาเมือน ซึ่งเป็นช่องเขาหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก การที่เป็นพื้นที่สำคัญในอดีต จึงมีการสร้างเทวสถานที่เป็นศูนย์กลางทางความเชื่อของชุมชนขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16 และต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 18 จึงมีการสร้างสถานพยาบาลและที่พักคนเดินทางขึ้นในเส้นทางนี้
ปราสาทตาเมือน
ปราสาทตาเมือนเป็นศาสถานประจำที่พักคนเดินทาง สร้างขึ้นในรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1761) แห่งอาณาจักรเขมรโบราณ ตามข้อความในจารึกปราสาทพระขรรค์ประเทศกัมพูชา ที่กล่าวไว้ว่า พระองค์โปรดให้สร้างที่พักคนเดินทางจำนวน 121 แห่ง จากเมืองพระนครไปยังเมืองต่างๆ เส้นทางที่มายังเมืองพิมายมีที่พักคนเดินทางจำนวน 17 แห่งด้วยกัน และปราสาทตาเมือนเป็นศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทางหลังหนึ่งในเส้นทางดังกล่าว
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นปราสาทหลังเดียวก่อสร้างโดยใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลัก หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้างประมาณ 6 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร ผนังอาคารด้านทิศเหนือก่อทึบ ส่วนผนังด้านทิศใต้ทำเป็นช่องหน้าต่าง จำนวน 5 ช่อง ด้านหน้ามีประตูทางเข้าออก 1 ประตู เหนือประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก มีทับหลังหินทรายจำหลักภาพพระไภษัชยคุรุ (พระพุทธเจ้าทางการแพทย์) ประทัาบนั่งขัดสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว มีตลับยาอยู่ในพระหัตถ์ ศิลปะเขมรแบบบายน ราวพุทธศตวรรษที่ 18


ปราสาทตาเมือนโต๊ด
ปราสาทตาเมือนโต๊ดเป็นโบราณสถานที่เรียกว่า อโรคยศาล หรือศาสนสถานประจำสถานพยาบาลแห่งหนึ่งในจำนวน 102 แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1727-1761) แห่งอาณาจักรเขมรโบราณโปรดให้สร้างขึ้น ตามที่กล่าวไว้ในจารึกปราสาทตาพรหม ประเทศกัมพูชา พระองค์นับถือศาสนาพุทธมหายาน นิกายวัชรยาน โบราณสถานประเภทนี้ จึงสร้างขึ้นในศาสนาดังกล่าวด้วย
นาค
ประติมากรรมที่เกี่ยวข้องกับนาคคือกลีบขนุนสลักเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้งเอราวัณ 3 เศียร พระอินทร์นั่งชันเข่า นุ่งผ้ามีขอบเป็นริ้ว มีชายผ้าขนาดใหญ่ ห้อยตกลงมาถึงเศียรช้างตัวกลาง พระอินทร์สวมกระบังหน้าและมงกฏรูปกรวย สวมตุ้มหูและสร้างพระศอ หัตถ์ขวาถือกระบอง หัตถ์ซ้ายวางบนพระชานุ พระเนตรบิด พระโอษฐ์อมยิ้มเล็กน้อย ช้างสลักอย่างชัดเจนทั้งวงว งาช้างทรงเครื่องคชาธาร พระอินทร์และช้างเอราวัณประทับภายในซุ้มรูปสามเหลี่ยม กรอบซุ้มทำเป็นลายเส้นที่ปลายกรอบซุ้มทำเป็นเศียรนาค เหนือกรอบซุ้มทำเป็นใบไม้ตั้งขึ้น

อโรคยาศาล ประกอบด้วย อาคาร 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นศาสนสถานซึ่งก่อสร้างด้วยวัสดุที่มีความแข็งแรง ได้แก่ ตัวปราสาทที่ยังปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ส่วนที่ 2 ได้แก่ อาคารสถานพยาบาลที่ก่อสร้างด้วยไม้ ซึ่งผุพังไปหมดแล้ว
ประสาทตาเมือนโต๊ด เป็นศาสนสถานประเภทอโรคศาล ที่มีองค์ทางสถาปัตยกรรมที่ครบถ้วนมากที่สุดแห่งหนึ่ง ประกอบด้ว
ปราสาทประธาน มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสนขนาดประมาณ 4×4 เมตร ส่วนฐาน เรือนธาตุ ก่อด้วยหินทราย ส่วนยอดก่อด้วยศิลาแลง ส่วนบนสุดก่อด้วยหินทรายแกะสลักเป็นรูปกลีบบัว หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีทางเข้าด้านเดียวกัน โดยทำเป็นมุขยื่นออกมา ที่ผนังด้านใต้ของมุขมีช่องหน้าต่าง ส่วนผนังอีกสามด้านของตัวปราสาทก่อทึบเป็นรูปบานประตูปิดอยู่ที่เรียกว่า ประตูหลอก ด้านหน้ามีชาลาก่อด้วยศิลาแลงเชื่อมต่อไปยังซุ้มประตู (โคปุระ)



บรรณาลัยหรือวิหาร ก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 3.60×6.80 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันตก โดยมีประตูทางเข้าด้านเดียวกัน อาคารหลังนี้สันนิษฐานว่า เป็นบรรณาลัย ที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางศาสนา หรือวิหารที่ประดิษฐานรูปเคารพ
กำแพงแก้ว ปราสาทประธานและบรรณาลัย ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วที่ก่อด้วยศิลาแลง แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 23.20 x32.00 เมตร มีซุ้มประตูหรือโคปุระเป็นทางเข้าออกด้านทิศตะวันออก โคปุระมีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีมุขยื่นออกมาด้านหน้าและหลัง ภายในแบ่งเป็น 3 ห้อง ที่โคปุระนี้พบหลักฐานสำคัญ ได้แก่ จารึกปราสาทตาเมือนโต๊ด ซึ่งเป็นจารึกประจำสถานพยาบาล ค้นพบที่โบราณสถานประเภทนี้ หลายแห่งด้วยกัน ถัดจากโคปุระออกไปมีชาลาก่อด้วยศิลาแลง
สระนำ้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาท มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กรุขอบสระด้วยแท่งศิลาแลง จารึก ปราสาทตาเมือนโต๊ด จารึกด้วยอักษรขอม ภาษาสันสกฤต กล่าวถึงพระไภษัชยคุรุประภา พระพุทธเจ้าทางการแพทย์ ผู้ประทานความไม่มีโรคแก่ประชาชน พร้อมด้วยพระศรีศูรยไวโรจนจนทโรจิ และพระศรีจันทรไวโรจนหิณีศะ การสร้างสถานพยาบาลให้เป็นสถานที่รักษาโรค เจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาล วัสดุ อุปกรณ์ สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรค
ปราสาทตาเมือนธม
ปราสาทตาเมือนธรมเป็นปราสาทหลังใหญ่ที่สุด (ธมแปลว่าใหญ่) และเก่าที่สุดในกลุ่มปราสาท 3 หลัง ดังกล่าว ตั้งอยู่แนวเขาพนมดงรัก จากการศึกษาลักษณะโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมซึ่งมีแผังผังอันประกอบด้วย ปรางค์ 3 องค์ โดยมีปรางค์ประธานซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนปรางค์อีก 2 องค์อยู่ถัดไปด้านหลัง ทางด้านขวาและด้านซ้ายของปรางค์ประธาน ปรางค์ทั้ง 3 องค์ สร้างด้วยศิลาทราย หันหน้าไปทางทิศใต้ ทางด้านทิศตะวันออก และทิศตะวันตกมีวิหาร 2 หลัง สร้างด้วยศิลาแลง วิหารด้านทิศตะวันออกหันหน้าไปทางทิศใต้ ส่วนวิหารด้านทิศตะวันตกหันหน้าไปทางทิศตะวันตก อาคารทั้งหมดนี้มีระเบียงคดสร้างด้วยศิลาทรายล้อมรอบ มีโคปุคระทั้ง 4 ด้าน โคปุระ ด้านใต้มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีบันไดทางขึ้นจากเชิงเขาด้านนี้ นอกระเบียงคดด้านทิศเหนือมีสระน้ำ (บาราย) ประกอบกับภายในปรางค์ประธานได้ปรากฏหลักฐานอันสำคัญยิ่งสำหรับศาสนสถานแห่งนี้คือ ศิวลึงค์ศิลาขนาดใหญ่ซึ่งสกัดจากศิลาทรายธรรมชาติ ติดกับพื้นหินทรายเดิม
นอกจากนี้ยังปรากฏท่อโสมสูตรจากปรางค์ประธานออกสู่กำแพงระเบียงคดด้านทิศตะวันออกด้วย ดังนั้นศาสนสถานแห่งนี้ คงสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ทั้งนี้เพราะศิวลึงค์เป็นรูปเคารพแทนองค์พระศิศวรนั่นเอง เนื่องจากส่วนประดับสถาปัตยกรรมส่วนต่าง ๆ ของปราสาทตาเมือนธรมนี้ได้พังทลายและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นจึงนำส่วนที่เหลือที่ปรากฏอยู่ ณ ปราสาทแห่งนี้และที่เก็บรักษาไว้ที่อื่น ๆ เ่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย โรงเก็บโบราณวัตถุชั่วคราวโรงเรียนบ้านคันนา ตำบลตาเมียง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ พบว่า ลวดลายต่าง ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่เป็นลวดลายในสมัยบาปวนทั้งสิ้น ดังนั้น ศาสนสถานแห่งนี้คงสร้างขึ้นในสมัยบาปวนราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 แต่งก็ยังรักษาอิทธิพลรูปแบบบางประการของศิลปะเขมรแบบเกลียงซึ่งเป็นศิลปะก่อนหน้านี้เอาไว้ด้วย


สภาพพื้นที่บริเวณปราสาทเมือนธรม มีลักษณะเป็นเนินเขาหินทรายของแนวเทือกเขาพนมดงรักที่กั้นเขตแดนประเทศไทยกับกัมพูชา ด้านหน้าทางทิศใต้ของโบราณสถาน มีสภพลาดชันมาก เนื่องจากมีระดับที่ต่ำกว่า และอยู่บริวณแนวชายแดนประเทศไทยและกัมพูชา เนื่องจากปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่บนภูเขาหินทรายในการก่อสร้างจึงมีการปรับแต่งพื้นที่บางส่วนแต่ก็ยังคงปรากฏร่องรอยของหินทรายตามธรรมชาติอยู่มาก
ปราสาทตาเมือนธม เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ซึ่งเป็นนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด ปราสาทประธานสร้างาขึ้นโดยมีรูปแบบศิลปะเขมรแบบบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 หรือ ประมาณ 900-1,000 ปี มาแล้ว เป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน ประกอบด้วยอาคารต่าง ๆ ดังนี้
ปราสาทประธาน สร้างด้วยหินทราย มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม ขนาดประมาณ 6×6 เมตร ส่วนยอดพังทลายลงมาแล้ว หันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งต่างจากปราสาทในวัฒนธรรมเขมรโดยทั่วไปที่มักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าเป็นการหันหน้าเข้าสู่เส้นทางคมนาคมหลักในอดีต ตัวปราสาทมีประตูทางเข้าทั้ง 4 ด้าน ด้านหน้าทางทิศใต้มีมณฑ)แผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าต่ออกมา มณฑปมีประตูทางเข้าด้านทิศใต้ ทิศตะวันออก และตะวันตก ที่ผนังเจาะช่องหน้าต่างประดับด้วยลูกมะหาด
ภายในห้องครรภคฤะ (คับ-พะ-คะ-รึ-หะ) มีศิวลึงค์ซึ่งเป็นประติมากรรมแทนองค์พระศิวะ ที่แกะสลักจากหินทรายธรรมชาติที่เรียกว่า สวยัมภูลึงค์ มีลักษณะเป็นแท่งหินทรายทรงกระบอก ส่วนบนชำรุดแตกหัก เหลือความสูงไม่มากนัก และที่ห้องมณฑปมีประติมากรรมรูปโคนนทีนั่งหมอบหันหน้าเข้าหาศิวลึงค์ ประติมากรรมรูปนี้มีสภาพชำรุดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ภายในมณฑปยังมีฐานรูปเคารพและแท่นบรรจุวัตถุมงคลอีกด้วย


ที่ผนังด้านนอกของปราสาทมีลวดลายแก่สลักประดับอย่างงดงามภาพเทพธิดาและทวารบาลยืนถือกระบองอยู่ภายในซุ้ม และที่ปรายกรอบหน้าบันประดับด้วยนาคห้าเศียร และมีลานหินทรายด้านทิศตะวันออกและตะวันตกของปราสาทประธาน มีรอยแกะสลักบนพื้นหินเป็นกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายฐานรูปเคารพ
นอกจากนี้ที่ด้านข้างทางทิศตะวันออกของปราสาทประธานมีแนวร่องน้ำหรือท่อโสมสูตรต่อออกจากตัวปราสาทไปยังระเบียงคดด้านทิศตะวันออก ท่อโสมสูตรนี้เป็นส่วนที่ระบายน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการสักการะบูชาศิวลึงค์แล้ว ที่ส่วนบนของแนวท่อนี้ยังปรากฏส่วนฝาปิดอยู่ด้วย
นาค
ประติมากรรมรูปนาคที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นนาค 5 เศียร เหลือเพียง 2 เศียร ลักษณะของเศียรนาคไม่มีลวดลายประดับ มีลักษณะคล้ายหัวงูตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นลักษณะของเศียรนาคสมัยบาปวน ซึ่งเปรียบเทียบได้กับนาคปลายรายลูกรอง ณ ปราสาทพระวิหาร
นาคคืองูเป็นศัตรูของครุฑ ในศิลปะขอมใช้มาก เพราะถือว่าปฐมกษัตริย์ของขอมเกิดจากนางนาคสมสู่กับชาวอินเดีย ดังนั้นพระยานาคจึงเป็นผู้ปกปักรักษาราชอาณาจักรขอมและรักษาศาสนสถานด้วย รูปนาคสำคัญมากในลักษณะรูปภาพของขอม โดยเฉพาะลวดลายเครื่องประดับสถาปัตยกรรม นาคมักใช้เป็นลวดลายเครื่องประดับของราวลูกกรงทางเข้าและปลายกรอบหน้าบันของปราสาทเขมรทั่วไป
ปราสาทบริวาร มีจำนวน 2 หลัง ก่อด้วยหินทรายตั้งอยู่ทางทิศเหนือของปราสาทประธาน มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม มีขนาด 6.80×6.80 เมตร สภาพในปัจจุบันส่วนย่อดบางชั้นพังทลายลงมาแล้ว หันหน้าไปทางทิศใต้โดยมีประตูทางเข้าด้านเดียว ผนังอีกสามด้านก่อทึบและแกะสลักเป็นรูปบานประตูปิดไว้ ที่เรียกว่า ประตูหลอก สันนิษฐานว่า ปราสาททั้งสองหลังนี้ใช้ประดิษฐานประติมากรรมเทพเจ้าชั้นรอง
บรรณาลัย
บรรณามีจำนวน 2 หลัง ก่อสร้างด้วยศิลาแลง หลังหนึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาทประธาน มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดประมาณ 4.80×9.30 เมตร มีประตูทางเข้าด้านทิศใต้ ภายในมีฐานรูปเคารพตั้งอยู่ อีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 4.80×4.80 เมตร มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันตก อาคารทั้งสองหลังนี้สันนิษฐานว่าเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางศาสนา โดยอาคารหลังที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกอาจเป็นอาคารที่ประดิษฐานรูปเคารพก็เป็นได้

ระเบียงคด
ระเบียงคด มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดประมาณ 47×47 เมตร กว้าง 3 เมตร ก่อสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง ล้อมรอบอาคารทั้งหมดไว้ภายใน ระบบคดในแต่ละด้านมีซุ้มประตูหรือโคปุระเป็นทางเข้า ซุ้มประตูด้านทิศใต้มีขนาดใหญ่กว่าอีกสามด้าน เนื่องจากเป็นทางเข้าหลัก
ถัดออกไปทางด้านหน้าของซุ้มประตูด้านทิศใต้ มีบันไดก่อด้วยศิลาแลงเป็นทางลง พื้นที่สองข้างของบันไดทางลงก่อด้วยศิลาแลงเป็นผนังขนาดใหญ่ ส่วนพื้นที่ทางด้านทิศเหนือของระเบียงคดมีสระน้ำ แผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่สองสระ

จากการขุดแต่งและบูรณะปราสาทหลังนี้พบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมาก เช่น ประติมากรรม รูปเคารพ ชิ้นส่วนประกอบอาคาร สิ่งของเครื่องใช้ และศิลาจารึกหลายหลักด้วยกัน จารึกเหล่านี้ทำขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ กัน และให้ข้อมูลเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปราสาทหลังนี้หลายประการ จารึกที่มีอายุเก่าที่สุด จารึกขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12 กล่าวถึงการนับถือศาสนาฮินดู ลัทธิไซวนิกาย แต่จารึกส่วนใหญ่ มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 กล่าวถึงพระนามของกษัตริย์ในอาณาจักเขมร เช่น พระเจ้าชัยวรมันที่ 3 (พ.ศ.1393-1420) พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (พ.ศ.1545-1593) การถวายที่ดินและสิ่งของแก่พระศิวะ การทำหลักเขตที่ดิน อาณาเขตของศาสนสถาน การให้พรและสาปแช่งผู้ทำลายโบราณสถาน เป็นต้น
จากหลักฐานทั้งหมดที่กล่าวมา สันนิษฐานได้ว่าปราสาทตาเมือนธรมสร้างขึ้นในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย โดยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 อาจมีการสร้างหรือใช้พื้นที่ทางศาสนา ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 มีการสร้างปราสาทประธานและอาคารหลังอื่นๆ ขึ้น และยังคงมีความสำคัญต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 มีการสร้างอาคารบางหลังขึ้น และอยู่ในเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างชุมชน
การเดินทาง
จากจังหวัดสุรินทร์ มาตามทางหลวงแผ่นดิน 214 ผ่านอำเภอปราสาท แยกไปตามทางหลวงหมายเลข 2121 ที่จะไปอำเภอบ้านกรวด ประมาณ 35 กิโลเมตร จะมีทางแยกเข้าบ้านตาเมียง ต่อไปยังบ้านหนองคันนา โบราณสถานอยู่นอกหมู่บ้านห่างไปประมาณ 2 กิโลเมตร โดยจะถึงปราสาทตาเมือนเป็นแห่งแรก ถัดไปปราสาทเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธรม ซึ่งอยู่ติดชายแดนไทยและกัมพูชา
จากจังหวัดบุรีรัมย์
เดินทางมาตามทางหลวงสาย 219 ผ่านอำเภอประโคนชัย ไปยังอำเภอบ้านกรวดตามทางหลวงสาย 2075 ผ่านอำเภอบ้านกรวด ไปยังอำเภอพนมดวงรัก ตามทางหลวงสาย 2121 ประมาณ 16 กิโลเมตร จะมีทางแยกเข้าหมู่บ้านตาเมียง บ้านหนองคันนา และต่อไปยังกลุ่มปราสาทตาเมือน
เอกสารอ้างอิง
สำนักศิลปากรที่ 21 นครราชสีมา. (ม.ป.ป.) โบราณสถานกลุ่มปราสาทตาเมือน. นครราชสีมา: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม.
อนงค์ หนูแป้น. (2535). การศึกษากลุ่มปราสาทตาเมือน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร.